คัดมาจากหนังสือ .. "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา" .. เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย (หน้า 37-42)

ได้เทพสุนัขแสนรู้เป็นเพื่อนใจ

ในตลอดรัตติกาลคืนนั้น เรามุ่งมั่นทำความเพียรทางจิต แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่ขบฉันอะไร มาได้สองวันแล้ว แต่ก็ไม่หิวไม่เหนื่อย เพราะตั้งใจว่า อีกสองวันข้างหน้า ก็จะออกเดินทางต่อไป หรือถ้าจะอยู่ไปอีก คงไม่ได้แน่ คนชักจะรู้ว่า มีพระปฏิบัติมาพำนักอยู่ แล้วก็จะเฮโลหลั่งไหลมาหา ขอของดี ของขลัง ฟังเทศน์ ฟังธรรม ให้ยุ่งอีก พอรุ่งสางแดดอ่อนๆ ตอนเช้า มองเข้าไปทางชายป่า เห็นหมาตัวโตตัวหนึ่งวิ่งตามทาง อันเป็นที่ที่ นายพรานหิรัญ ออกมานั่นเอง มันวิ่งมาหาข้าพเจ้าอย่างรีบร้อน พอมาถึง มันก็ทำกิริยาท่าทาง เหมือนรู้จักมักคุ้น กันมาก่อน แสดงความเป็นมิตร ชิดชอบ มันแสดงความดีใจ ทำเสียงครึ่งเห่าครึ่งร้อง ใช้ลิ้นเลียแข้ง เลียขา เลียหน้า เลียหัว และเลียไปทั่วตัว เราก็ไม่ว่า ไม่ห้ามมัน เพราะนิสัยเรารักหมาอยู่แล้ว และรักมากกว่าคนเสียอีก เพราะชีวิตเรา อยู่มาได้เพราะหมา แต่ตอนเล็กๆ ยังเป็นเด็ก โยมแม่เล่าให้ฟังว่า เอ็งต้องรักหมา เลี้ยงหมาเน้อ เพราะหมามันมี บุญคุณกับเอ็ง ตั้งแต่วันแรกเกิด คือวันแม่คลอดเอ็งออกมา แต่แม่ฝันไปว่า มีพญากาเผือก กาขาวบินมาจับบ่าแม่ หลายครั้ง ซึ่งแม่ก็ไม่เคยเห็น แต่เจ้าอยู่ในท้องแม่นาน แม่ไม่รู้ตัว เพราะอุ้มท้องมาได้สิบสองเดือน มีคนอื่นเขาถามแม่ว่า นี่มันจะสร้างบ้าน สร้างเรือนอยู่ในท้องของแม่หรืออย่างไร ทำไมไม่ออกมาสักที แม่ก็ตอบเขาว่า มันก็ดิ้นทุกๆ วัน วันละหลายๆ ครั้ง แต่ก็ชอบกลนะลูก ตอนแกอยู่ในท้องนั้น แม่สุขภาพดี เงินทองไหลมาเทมา แม่ค้าขายอะไร มีคนรัก และเมตตา คนซื้อของเกือบทุกราย ไม่เอาเงินทอน แม่จึงเก็บหอมรอมริบไว้ได้หลายสิบชั่ง แม่ออกไปนั่งปัสสาวะบนแพ เพราะบ้านเราเป็นเรือนแพ อยู่บนกระแสน้ำ สองสายมารวมกัน แม่น้ำปิง กับแม่น้ำน่านที่ปากน้ำโพนี่เอง ขณะที่น้ำปัสสาว ะมันไหลออก แกก็ออกไปด้วย ตกลงไปในน้ำ จุ๋มไปเลยโดยไม่รู้ตัว ขณะนั้นสุนัขคู่ใจของพ่อเจ้า ชื่ออ้ายเก่ง มันกระโจน ลงไป คาบขาเจ้าขึ้นมา ด้วยความรวดเร็ว ได้ยินเสียงเจ้า ร้องอุแว้ อุแว้ อยู่ในปากหมา พ่อเจ้ากระโจนมารับเอาไว้ ดังนั้น เจ้าจึงมีแผลเป็น อยู่ที่โคนขาข้างขวา เพราะรอยแผล จากเขี้ยวหมาอ้ายเก่งนั้นเอง มันเก่งสมชื่อ ถ้าไม่มีมัน ลูกก็จมน้ำตายไปแล้ว ดังนั้นเจ้าอย่ารังเกียจหมานะ ให้ถือว่าหมาช่วยชีวิตเจ้าไว้ หมาหนึ่ง อีกาหนึ่งลูกต้องรักมัน

อันสุนัขตัวที่วิ่งมาหา แล้วเลียแข้ง ขา หน้าตานั้นเป็นพันธุ์ใหญ่ ดูแล้วคงจะเป็นพันธุ์ผสม ระหว่าง เกรดเดน กับรอดไวเล่อร์ เพราะความโตของมันนั้นเอง หมาชาวบ้านจึงไม่กล้าแหยม เพราะมันใหญ่โต สูงเกือบเพียงสะเอว แต่ไม่ดุร้าย ซึ่งเว้นไว้แต่มีใครมาวุ่นวาย กับเจ้าของมัน ในเรื่องไม่ชอบมาพากล มันจะเข้ามาขวาง ทำตาเขม็งใส่ แล้วคำรามหื่อๆ ใส่ทันที แล้วก็นอนขวางไว้ ทำสายตาไม่เป็นมิตรกับเขาเลย

เราพามันอยู่ที่นั่นต่ออีกสองวัน ก็ออกเดินทางต่อ ทำการประทักษิณ บูชาพระธาตุเจดีย์ พระแม่ธรณี แล้วอธิษฐานว่า ถ้าสุนัขคือเจ้าเก่ง ที่ข้าตั้งชื่อให้ใหม่นี้ มันมีชีวิต จิตวิญญาณของนายพรานป่า ที่ใช้ให้มา โดยท่านมี เจตนาดีกับเรา สิงอยู่ในจิตวิญญาณ ของเจ้าเก่งนี่แล้ว ให้มันนำพา ช่วยอารักขาให้เราไปถูกเส้นทาง ที่ท่านนักรบ ผู้ยิ่งใหญ่ ได้ผ่านมาสมัยก่อนเถิด และอย่าเกิดอุปสรรคใดๆ ในการเดินทางเลย อันความอธิษฐานก็สมความตั้งใจ เจ้าหมาแสนรู้คู่ใจ นำพาออกเดินทาง ข้ามภูเขาตะนาวศรี ขึ้นภูผาที่สูงชั้น ซึ่งก็ดูเป็นรูปทางเก่า สมัยโบราณท่านเดินผ่าน หรืออาจจะเป็นแนวทางยกทัพมา เพื่อมาติดต่อค้าขาย หรือรบรากัน หลังจากตกเป็นเมืองขึ้นกัน สมัยโบราณ เจ้าเก่ง สุนัขแสนรู้ มันเดินและวิ่งออกหน้า เพื่อตรวจตราดูความปลอดภัย ในการเดินทางของเรา ถ้าเห็นว่า ไม่น่าไว้ใจ มันก็รีบกลับมาเตือน ยืนขวางทางเอาไว้ บางแห่งต้องเดินผ่านป่าลึก ใช้เวลาเป็นวันๆ จึงจะถึงบ้านคน เมื่อเราเหนื่อย เมื่อยล้า มันจะเข้ามาหา เดินวนไปวนมาอยู่รอบๆ ตัวเรา บางแห่งเรานอนพักเอาแรงกลางวัน มันจะเข้ามาหา แล้ว เกลือกกลั้วไสไปมา ด้วยปลายคาง มันชำเลืองมอบรัก ด้วยสายตา มันเห็นว่า เราเปล่าเปลี่ยว และว้าเหว่ มันเดินเร่ ทำเริงร่าเข้ามาหา มันส่งรักประจักษ์จิต ด้วยสายตา ให้เราได้รู้ว่า ตัวข้ายังมีมัน (คือเจ้าเก่ง) เราเดินผ่านป่า เข้าป่า พวกสัตว์ป่าก็มาก จึงได้ยินแต่เสียงวิหคนกร้องอยู่ทั่วไป เสียงจักจั่น เรไร ไก่ขันสนั่นดง ผ่านไพรพงดงใหญ่ไกล จากบ้าน จิตเบิกบานวิเวกใจในไพรสณฑ์ ผ่านหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าต่างๆ เช่น กระเหรี่ยง แม้ว มอญ เหย้า ขมุ มูเซอ ไทยใหญ่ กระทั่งเจอคนป่า ที่เขาเรียกว่า เงาะป่า ตัวเตี้ย ตัวเล็ก ผมหยิก และผ่านโขลงช้าง สัตว์ป่านานาชนิด เดินข้าม เขาลงห้วย ลงเหวลูกแล้วลูกอีก คนชาวเขาแต่ละกลุ่ม เขาจะนับถือลัทธิศาสนาต่างๆ กัน เช่นพวกแม้ว เหย้า ขมุ เขานับถือผี วิญญาณของบรรพบุรุษ จะมีการเซ่นไหว้ มีบรรพบุรุษ เป็นการแสดงความจงรักภักดี เราเชียร์เขาว่าดี เพราะได้กตัญญู ต่อผู้มีบุญคุณ บางพวกนับถือผีฟ้า ผีแถน ก็โอเคกับเขาว่า ผีฟ้าเขาอยู่สูง เขาอยู่บนฟ้า เขาให้ความสุข เพราะให้ฝนตกลงมา ให้พสุธาชุ่มชื่น ส่วนพวกนับถือคริสต์ ก็สรรเสริญเขาว่า พระผู้ให้กำเนิดของคริสต์ นั้นคือพระ เป็นเจ้า พระยะโฮวา ผู้ทรงมีเมตตา แก่สัตว์โลก และเป็นผู้สร้างโลก มาให้เราได้อาศัยดีแล้ว พระคริสต์ท่านเป็นพระ นักเสียสละ อันพวกนับถือศาสนาอิสลาม ก็อนุโมทนา ในคำสอนของพระคำภีร์อัลเลาะ ท่านสอนนักสอนหนาว่า การใส่ร้าย ป้ายสี ติฉิน นินทาคนอื่น เป็นบาปหนัก ตกนรกหมกไหม้ และอย่างอื่น ท่านไม่ให้เอารัดเอาเปรียบกัน ออกเงินตกดอกเบี้ย ไม่ได้ เล่นแชร์ เล่นหวยไม่ได้ รับสินบนไม่ได้ ผิดคำสอนของพระเป็นเจ้า บาปหนักอีกเช่นกัน ให้ทุกคนต้องถือศีลบวช บวชเพื่อถือศีลอด ให้อดข้าว อดน้ำไม่ดื่ม ไม่กินอะไรเลย ให้รู้ว่าความอดอยากโหยหิว ไม่มีอันจะกินนั้น ก็เป็นเช่นกันกับคนอื่น จะได้เสียสละ สงเคราะห์ผู้อื่นที่ตกยาก นับว่าคำสอนของพระอัลเลาะ ในคำภีร์อัลกุระอ่านนั้น ประเสริฐแท้ ที่สอน ให้มนุษย์โลก อยู่ร่วมกันโดยสันติสุข ไม่ให้เอารัดเอาเปรียบกัน ส่วนพวกนับถือผีป่า ผีฟ้า ผีแถน ตลอดสารพัดผี ตามประเพณี และลัทธิของชุมชนเผ่าต่างนั้น ก็อนุโมทนาตามเขา เราไม่ห้าม แถมยังยกยอเขาอีกว่า คบกับผี บูชาผี ดีกว่าคบกับคน พวกเนรคุณ เพราะผีเชื่อง่าย สอนง่าย กินง่าย ดูแต่เราเอาแกลบ เปลือกข้าวใส่กระบอก ใส่ไห แล้ว บอกว่าเป็นสุรา มันยังเชื่อ เอาดินเหนียวมาปั้น เป็นรูปม้า รูปช้าง รูปคนไปเซ่นไหว้มัน มันก็เอา รวมความว่า พวกผี พวกวิญญาณ เทวดาเป็นพวกที่ซื่อสัตย์ น่ารัก น่าเอ็นดู คบง่าย จึงให้กราบไหว้ไปเถอะ จะได้มีที่พึ่งทางใจ บางแห่งก็ พบกับพวกนับถือพระศิวะ (ศิวลึงค์) ก็เชียร์เขาว่าดี ถ้าคนเราไม่มีอ้ายเจ้านี่ โลกมนุษย์ก็จะไม่มี และบางที่ บางแห่ง ก็ต้องโง่ ว่าเขามีวิธีการอย่างไร เขาจึงพากันปลุกเสก เจ้าปลัดขิกนี้ให้ลอยน้ำ วิ่งไล่กันได้ เขาก็สอนให้ แต่ต้องยกครู ให้เขา คิดเป็นเงินไทยหนึ่งเฟื้อง คือสิบสองสตางค์ บางแห่งเขานับถือเจ้าแม่กาลี (คืออีเป๋อ) ก็ทำการศึกษากับเขาไป โดยทำตัวเป็นคนใบ้ก็ได้ โง่ก็เป็น โดยถือคติว่า (โง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ยาก โง่ไม่เป็น จะฉลาดยาก) เราไปแบบเข้าเมือง ตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม เข้าเมืองคนงาม ก็ต้องสงบเสงี่ยม เจียมตัวหัวเราะ และยิ้มเอาไว้ จะไปได้ปลอดภัย การเดินทางข้ามเทือกเขาตะนาวศรี อันสลับซับซ้อน ลูกแล้วลูกเล่า ใช้เวลาถึงห้าวัน จึงถึงเมืองทานบยูซายัด (Thanbyuzat) อยู่ตอนเหนือ ของเมืองตะนาวศรี เลียบชายฝั่งทะเลอันดามัน อีกสามวันถึงเมืองมูดอน (Mudon) จากเมืองมูดอน ถึงเมืองมะละแหม่งใช้เวลา 5 วัน (ที่เมืองมะละแหม่งนี้เอง มีพระธาตุอินทร์ แขวนตั้งอยู่) แต่ภาษา อังกฤษเขาเขียนว่า (Moulmein) เราพักอยู่ที่เมืองมะละแหม่ง 10 วันเพื่อพิสูจน์ ค้นคว้าด้านวิญญาณ ประวัติศาสตร์ว่า พระเจ้าอุทุมพรมาสวรรคตที่นี้ จากมะละแหม่ง ตามสายน้ำสาละวิน ร่วมกับแม่น้ำสโตง อีกสองวันถึงเมืองบาอัน (Pa An) จากบาอัน ข้ามแม่น้ำสาละวิน ไปเมืองท่าทอง (Thaton) แต่ต้องเปลี่ยนแผน เพราะจะเข้าไปเมืองพะโค เป็นอ่าวปากน้ำ มีอาวุธของข้าศึกมหาเอเซีย ยังไม่ยกกลับ จึงต้องขึ้นเหนือ Pequ (เมืองพะโค คือเมืองหงสาวดี) ที่เรา จะต้องไปนั้นเอง อันชื่อเมืองต่างๆ ในประวัติศาสตร์ของชาติเมียนม่า แต่เก่าก่อนนั้น ฝรั่งมันเปลี่ยนชื่อใหม่หมด ให้ใกล้ กับภาษาของมัน แต่บางทีไม่ถนัด ทั้งภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส เราจะอ่านไม่ออก เช่นเมืองมะละแหม่ง มันเรียกว่า moulmein คือถ้ามันเอาตัว น. หนูเป็นตัวงองู ดูๆแล้ว น่าขัน ดังนั้น ท่านที่จะไปเมืองเมียนม่าในยุคนั้น ต้องอ่านได้ทั้ง ภาษาไทยใหญ่ พม่า รามัญ อังกฤษ และฝรั่งเศส จึงเอาตัวรอด เมื่อไปถึงเมืองพะโค คือ เมืองหงสาวดีแล้ว ก็ได้พบ เพื่อนเก่าทั้ง 4 ชาติ ที่เคยตกทุกข์ได้ยาก จากแดนไกล คือ ทวีปยุโรปมาด้วยกัน คือ ท่านมหาคุรุปิตะโก พระพม่า ท่านคุนูกุรูเถรา จากศรีลังกา ท่านอะมะราตะนันท จากเนปาล และข้าพเจ้า แบบสี่เกลอเก่า อภิทะชะมหาอัตตะคุรุ การเข้าไป อยู่ เขาให้เราอยู่แบบอิสระ เขาต้องการให้เราไปช่วยบูรณะของเก่า ให้เหมือนเดิม ตรงนั้นเท่าที่สืบรู้ ก็คือคุ้ม หรือหมู่บ้าน ของพวกเชลย ที่เป็นคนไทย ซึ่งถูกกวาดต้อนไป และไม่ไกลกับวัด มีบริเวณเดียวกัน ที่กว้างขวางเป็นร้อยๆ ไร่ รอบกำแพงอันเก่าๆ เราช่วยปลูกต้นมะพร้าวเต็มหมด จึงเป็นเครื่องบดบัง เป็นหลังคาไปในตัว เราเองก็ชอบอย่างนั้น เพราะวิเวกดี มีพระสงฆ์ของศรีลังกา เนปาล และอินเดียมาอยู่รวมกัน 4 รูป ซึ่งก็เคยรู้จักมักคุ้นกันมา เมื่อ 10 ปีมาแล้ว ที่ยุโรปซึ่งเป็นพระคงแก่เรียน และชอบเป็นนักสัญจรรอบโลกกันมาทั้งนั้น ในสมัยนั้น มหาอำนาจเริ่มยกให้สหภาพพม่า เป็นอิสระแล้ว แต่เจ้าของผู้เป็นเมืองขึ้นของพม่า คือ อังกฤษ เขาก็ยังมีอำนาจดูแลอยู่ แบบเป็นที่ปรึกษา และ ข้าหลวงใหญ่ ก็รักพวกเราดี ยังมีชาวต่างประเทศ ชาวยุโรปอยู่ดูแลเป็นส่วนมาก จึงเป็นการสะดวกสบาย ที่เราสี่สหาย ได้เคยรู้จักกับเขาไว้ก่อน ตอนที่อยู่ต่างแดน พวกเราจึงขอสถานที่ อยู่พักอาศัยได้ ตามความต้องการ เขาจึงจัดให้อยู่ อย่างอิสระแบบพระต่างแดน อันสถานที่เขาจัดให้เราอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าจะเป็นวังเวียงเก่า เท่าที่สืบดู ก็เป็นสถานที่ของ เจ้าบุเรงนอง หรืออะไรดูไม่ออก เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ มีปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ และอีกข้างติดกัน ก็เป็นที่ของ นันทบุเรง แต่ก็ถูกทำลาย ไปด้วยกาลเวลา และภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเราจึงร่วมกัน ปลูกต้นมะพร้าวรอบๆ บริเวณ ได้สี่ร้อยเก้าสิบต้น เป็นที่ระลึก แต่ก็น่าเสียใจ เมื่อเรากลับไปคราวหลัง เมื่อปี 2510 เจ้าหม่องตัดทิ้งหมด เพื่อ สร้างวังใหม่ ป่านนี้คงไม่มีอะไรเหลือแล้ว เมื่อเราได้สถานที่อยู่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีจดหมายถึงคุณเกษม ล่ำซำ ที่เรา เคยรักกัน และได้ทำบัญชีการเงิน ไว้ให้เขาส่งไปให้จำนวน 5 แสนบาท เป็นเงินของส่วนตัว เรามารับที่เมืองแรงกูน เพราะอยู่ทางใต้ของเมืองพะโค ลงไปประมาณ 50 กิโลเมตร อันการเดินธุดงค์ แสวงธรรมตามรอยกรรม ก็เป็น อันจบลงเท่านี้ และยังมีกรรมเก่าๆ ที่เราสร้างไว้ ทำไว้ จะตามมาสนองอีก โปรดอ่านต่อไป

... ติดตามตอนต่อไป ...
... กลับไปยังหน้าแรก ...