คัดมาจากหนังสือ .. "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา" .. เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย (หน้า 47-62)

ก่อนกลับเมืองไทยยังมีจิตอาลัยเมืองพม่า

อันประเทศเมียนม่า ที่ข้าได้คาดเอาไว้ว่าเราจะไปทำไม เพราะความเจริญ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม มันต่ำต้อย ด้อยพัฒนาที่สุด และมนุษย์เมืองนี้ สมัยโบราณ มันเป็นพาลเกเร เข้าไปเข่นฆ่าทารุณคนไทย ให้ล้มตายไป เป็นจำนวนมากนับไม่ถ้วน แล้วยังเผาผลาญบ้านเมือง ที่เจริญรุ่งเรืองให้ย่อยยับ ดังที่เราได้คิดเอาไว้ และที่ได้เห็นมา เมื่อเราผ่านเมืองอยุธยาทีไร น้ำตามันจะไหลทุกที เพราะความแค้น จึงไม่มีแก่ใจในอันที่อยากจะไปรู้ อยากจะไปดู อยากจะไปเห็นมันไอ้เจ้าหม่อง เพราะความแค้นที่มีอยู่ในใจ แต่ก็เป็นเพราะบุพกรรมที่เราทำ ที่เราสร้างไว้ในอดีตชาติ ที่มีอำนาจลึกลับเหนือจิตใจ บังคับให้เราต้องมา แต่การมาของเรา เรามาด้วยความฝันทางมโนภาพ ฝันความคิดเห็น อาจจะเป็นเวรกรรม ที่เรามองย้อนอดีตไม่เห็น จึงจำเป็นต้องไปตามคำร้องขอ ของทวยเทพเทวดา ให้ข้าต้องผ่านป่าดง มาด้วยความยากลำบาก อย่างแสนสาหัส แบบเสี่ยงตายเอาดาบหน้า ใช้เวลาเดินทางด้วยเท้าเปล่าถึง 40 วัน รวมเวลาพักเอาแรงถึง 50 วัน เมื่อมาถึง และได้สัมผัสทางจิตวิญญาณทางฝันแล้ว จึงได้รับรู้เรื่องราว ความเป็นมาของกรุงอโยธยา แต่ครั้งแรกนั้น มีเหตุมาจากลูกน้องลูกแถว ของผู้มีอำนาจสูงสุดของคนไทยเอง ที่ไม่เอาตาดู หูฟัง ความทุกข์ร้อนความเห็น ของประชาชนผู้อยู่ใต้อำนาจบริวาร ผู้ใกล้ชิดผู้บริหารชั้นสูง ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม บ้าอำนาจ บ้ายศ เห็นตัวเองเป็นเทวดา นึกว่าเจ้าเหนือหัวให้อำนาจ เห็นชาวประชาเป็นสัตว์ดิรัจฉานเดินดิน ใครจะไม่มีใช้ไม่มีกินข้าไม่รู้ ขอให้กูและพวกพ้องมีความสุขก็พอแล้ว ประชาชนไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใคร ก็หันไปเป็นไส้ศึกให้คนต่างชาติ เข้ามาอาละวาด แย่งชิงเข่นฆ่ากัน แบบเกลือเป็นหนอน พม่าก็ดี มอญก็ดี เขาเข้ามาตีมาเข่นฆ่า เฉพาะพวกบ้าอำนาจ ของพวกลูกแถว แล้วกวาดต้อนไปเป็นจำเลย ส่วนผู้ที่เคยรับใช้เขา เขาก็เอาไปด้วย ก็สมน้ำหน้าแล้ว ที่พวกบ้ายศ บ้ายอ พวกชอบประจบสอพลอ คนเขาไม่พอใจก็ยกพวกมา เผาบ้านเผาเมือง ตลอดเวียงวังให้พินาศ ก็คนไทนี้เอง ซึ่งไม่ผิดกับสมัยพฤษภาทมิฬ เขาเผาเพราะความแค้น แค้นให้พวกหยิ่งยะโส มัวเมาในอำนาจ ไม่ให้มีนิวาสตนที่อยู่ต่อไป ก็คนไทยนี้เองช่วยกันเผา ตัวเราเองยังต้องโหมโรงกับเขาไปด้วย เขาจึงเห็นว่าเป็นคนดี มีไมตรีช่วยเหลือกันแล้ว มันก็เอาไปด้วย ไปช่วยทรมาน พวกบ้ายศบ้าอย่างจะได้หายไปจากโลกมนุษย์ ผลสุดท้าย เจ้าเหนือหัวของไทย คือพระมหินทราธิราช พอหมดอำนาจวาสนา ประกอบกับโรคโรคามาประดัง สังขารสู้ไม่ไหว ก็ไปสิ้นใจสวรรคตที่เขตเมืองอังวะนี้เอง จึงน่าสงสารท่าน บ้านเมืองจะฉิบหาย เพราะบริวารแท้ๆ อันคนชาวพม่าจริงๆ นั้น เขาใจบุญเป็นชาวพุทธเต็มร้อย จุดเด่นที่สุดของเขา คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในทางพระพุทธศาสนา เช่น วัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร เจดีย์ วัตถุที่สวยๆงามๆ ตั้งแต่สมัยอดีต ก็ยังไม่ทรุดโทรมเลย หลายๆ เมือง ที่มีพระธาตุเจดีย์ ทุกที่ทุกสถาน เขาช่วยกันอภิบาลปกป้องไว้อย่างดี เช่นเจดีย์ชเวดากอง เดิมชื่อกุรุงตะเล เป็นของพวกมอญสร้างไว้ก่อน อันศัพย์คำว่าตะเล ตะเล แปลว่า ภูเขา ซึ่งไม่ผิดกันเลยกับภาษาสิงหล ที่เขาตั้งชื่อว่ามหินตะเล เพราะเป็นสถานที่ พระเจ้าเทวานัมปิ พบกับพระมหินทเถระที่นั้น จึงได้ตั้งชื่อว่ามะหินตะเล ส่วนกรุงตะเลที่ประเทศพม่า ก็มาจากศัพท์เดียวกัน ส่วนพะโค ซึ่งก่อนชื่อเมืองหงสาวดีนั้น ก็มี Dhammayangi Temble เป็นภาษาอังกฤษ แต่ชาวเมืองเขาเรียก ธรรมะย่านจี Demmagangi ซึ่งเป็นพุทธสถานที่ใหญ่โต น่าสักการะ และยังมีพระพุทธรูป สร้างด้วยหินอ่อนหลายพันองค์ ตั้งเรียงรายกันน่าเลื่อมใส ไม่มีใครแตะต้อง ส่วนเมืองอังวะ คือบ้านทะเล ปัจจุบันก็มีพระเจดีย์มากที่สุด และอีกแห่งคือพระธาตุสัมพุทธรูป ห้าแสนแปดหมื่น สองพันห้าร้อย ห้าสิบเจ็ดองค์ ซึ่งมีพระพุทธรูปหินอ่อนองค์ใหญ่ ประทับอยู่ถึงแปดหมื่นสี่พันองค์ รูปพระอรหันต์อีกห้าพันองค์ พระเจดีย์เล็กหุ้มทองสองพันกว่าองค์ ก็ยังทรงประดิษฐานอยู่อย่างดี และอย่างเดิม ไม่มีใครเคลื่อนย้ายแตะต้อง พระสวยๆ อย่างนั้น ถ้าเป็นเมืองไทย เมืองพุทธแต่สำมโนครัว แต่ส่วนตัวนั้น หัวขโมยพระไปขาย พระพุทธรูปเหล่านั้นคงไม่เหลือแล้ว ขนเอาไปขายหมด พม่าเขาถือว่าการค้าขาย ถ้าขายพระเป็นสินค้า ถือว่าเป็นบาปหนัก เท่ากับขายพ่อกิน และมีถิ่นอื่นๆ อีกทั้งเขตพม่า เขาจะมีสิ่งสักการะบูชา คือพระธาตุเจดีย์ ตั้งเป็นศรีสง่าน่าเลื่อมใสไปทุกแห่งหน ไม่มีใครกล้าขุดค้นทำลาย เหมือนเมืองไทยเลย แล้วยังจะเห็นว่า พม่าร้ายได้อย่างไรแต่ที่มันรบราฆ่าฟันกันอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่เกี่ยวกับศาสนา มันเกี่ยวกับความบ้าอำนาจ ของคนมีกิเลสหนาเท่านั้น แม้แต่เขมรก็ถืออำนาจอีก ส่วนเมืองไทยเรา เรามีหลักชัยอันยิ่งใหญ่ คือ องค์พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงตั้งอยู่ในทศธรรมนิราช ตั้งอยู่บนดวงใจของคนไทยทั้งชาติ ถ้าไม่มีพระองค์แล้ว อะไรจะเกิดขึ้น ขอให้คิดเอาเถิด นี้ข้าพเจ้าผู้เขียนเขียนขึ้นมา เพราะได้ไปเห็นมากับตา เป็นได้ยินมากับหู ไปอยู่กับพม่ามานานไป ได้รับความสุขสำราญทางจิตใจ ได้รับความผ่องใสทางปัญญา ที่รู้เรียนมาจากของจริง จึงเชียร์ว่าพม่าเขาดี ข้าพเจ้าเข้าไปทุกที่ ได้รับการแซ่ซ้องสาธุการ ถึงกับหามแห่ไม่ให้เหยียบดินเลย เพราะเราเข้าไปมีแต่ให้กับให้ช่วยกับช่วย ช่วยเขาด้วยความเต็มใจ ไม่เหมือนคนไทยหน้าไหว้หลังหลอก ขอบอกว่าเขาดีกว่าเรา ในด้านศีลธรรม วัฒนธรรม สังคม ส่วนเรื่องวัฒนธรรมอันเก่าแก่ ของชาวพม่านั้น เขายังยึดมั่นถือมั่น ในจริยธรรมอันดีงามของเขา มาแต่บุพกาลนั้น ไม่ต้องพูดถึง เขายังถือประเพณีอันดีงามของเขาไว้ ทุกคนมีระเบียบวินัย มีนิสัยสมถะ ไม่ชอบความฟู่ฟ่าฟุ่มเฟือยเหมือนคนไทย ใจรักธรรม ถึงวันพระจะพากันมาถือศีล นั่งวิปัสสนา หาความสุขทางใจ คุกตะรางมีไม่กี่แห่ง ทั่วประเทศ แต่มีไว้ขังนักโทษทางการเมืองเป็นส่วนมาก สังคมเขาอยู่แบบเรียบง่าย เขาถือว่าตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ แล้วก็กระเสือกกระสนหามาทำไม คนจัญไรที่เป็นภัยต่อส่วนรวม คือคนที่มีแล้วไม่รู้จักพอ ทรัพยากรของชาติของแผ่นดิน เขามีมากกว่าเมืองไทยหลายเท่าเช่น แร่ น้ำมัน ป่าไม้ ถ่านหิน พลอย เขามีมาก แต่เขาหาใช้หาขายเอง ไม่ยอมให้ต่างชาติไปลงทุน เพราะจะไปทำลายของเขา ส่วนด้านศาสนาเขาเคร่งครัดที่สุด นักบวชของเขาเป็นผู้นำ ไม่ให้เห่อเหิมในลาภยศ พระเขาไม่เอาเลย เพราะพระระดับผู้บริหาร เขาจะมีการเลือกตั้งกันทุกห้าปี ทุกระดับชั้น ตั้งแต่เจ้าอาวาส ถึงมหานายะกะ เพราะเขาไม่มีกาวตราช้าง ติดก้นเอาไว้เหมือนพระสงฆ์ไทย การเอารัดเอาเปรียบกันเป็นบาปหนัก เขาจึงอยู่แบบสมถะที่น่าคบ น่ารัก น่านับถือ ไม่เหมือนคนไทย ที่นับถือพระพรหมสี่หน้า พม่าก็เหมือนกัน แต่ผิดกันด้วยการนับถือคือตัวพระพรหม ท่านมีเพียงสี่หน้า ชาวพม่าก็พากันเลื่อมใส แต่ชาวไทยทั้งบุรุษและสีกา มีมากกว่าร้อยหน้าพันหน้า มากกว่าพรหม จึงขอสรุปว่า ด้านวัฒนธรรม ศีลธรรมของชาวพม่า เขาดีกว่าเรา แต่เมื่อเข้าไปถึงครั้งแรกนั้น ได้ประสบทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งชื่นชมเศร้าโศก หัวเราะและน้ำตา อับเฉาเบาปัญญา ทั้งแสงเจิดจ้าแห่งดวงธรรม มีคละเคล้ากันกันมาตลอดเวลา ถ้าสถานบ้านเมืองนี้แหละ และสถานที่เราอาศัยอยู่นี้ มิใช่ที่เราเคยมีส่วน ทั้งทางสร้างสรรค์ มาแต่อดีตชาติ ทวยเทพเทวาอารักษ์ทั้งหลาย คงไม่เอื้ออำนวย ให้เราได้รู้แจ้งในสิ่งที่ควรรู้ ควรเห็นเป็นแน่ ดังนั้น วันนี้เป็นวันศุภมงคล อันล้ำเลิศของชีวิตข้า จึงขออำลาเทวาฟ้าดินทุกถิ่นฐาน ภูมิเทวสถานทั่วขอบเขตขัณฑสีมา ขออำลาท่านมเหศักดิ์ ผู้พิทักษ์บ้านเมือง ขออำลาท่านผู้ช่วยประเทืองปัญญา มาแนะนำแนวทาง การเข้าถึงตัวแฝงตัวลึกลับ ดับความมืดบอดทางปัญญา คือหลวงปู่พระครูโลกอุดร ที่มาสั่งสอนให้ด้วยความเมตตา และขออำลารุกขเทวดา ตลอดชาวประชาที่มาอุดหนุน ดูแลให้ความอบอุ่นมาตลอด ทั้งเจ้าบุญนายคุณทุกประเภท ลาทั้งผู้มาก่อเหตุให้วุ่นวาย ขอขอบใจ และบอกว่า ถ้าพวกท่านไม่ทำอย่างนั้น ข้าก็คงจะไม่มีบทเรียนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต ของข้าพเจ้า จึงขออุทิศกุศลทุกอย่าง ที่ข้าได้ทำมาให้ท่านมีส่วนทั่วหน้ากัน

ข้าขอลาหมู่พฤกษาที่อาศัย จะเลือนลับนับปีแต่นี้ไป จะมิได้มาพึ่งเย็นอีกเช่นเคย เรามาอยู่สู้ทุกข์ เป็นสุขเลิศ ให้ใจเกิดความว่างจนวางเฉย ของแผ่นฟ้าแผ่นดินถิ่นที่เคย เทพไท้เอ๋ยข้าขอตั้งคำสั่งลา ส่วนความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ ที่ขัาได้รับปฏิญาณกับท่าน ยอดสตรีศรีพระสุพรรณกัลยานั้น ขออัญเชิญท่านกลับไปด้วยทั้งหมด เพราะได้รับรู้ทั้งด้านนามธรรมคือ พระรูปอันโสภิตที่สถิตในดวงใจของข้า พร้อมด้วย พระรูปอันไฉไลโสภา น่าสักการะของท่าน ที่ข้าได้ทำพิธีกรรมถ่ายรูปเอาไว้ ก็ขออัญเชิญกลับไปด้วย และท่านก็เล่าให้ฟัง ทางจิตวิญญาณว่า คนไทยที่เป็นเชลยผู้แข็งแรง ถูกเขาส่งเขาไล่ให้ขึ้นไป เป็นสายสืบตามลุ่มแม่น้ำสาละวิน ตั้งแต่เหนือจรดใต้ แล้วเขาก็ล้มตายไปหมด ท่านถึงอยากจะให้ขึ้นไปทางเหนือ ริมฝั่งแม่น้ำสาละวินทั้งสองฝั่ง เพื่อบอกเล่าและอวยทาน อุทิศส่วนกุศลให้เขาได้รับรู้ แล้วอนุโมทนาส่วนบุญ แล้วจะได้นำพาให้เขาได้กลับเมืองสยามไทย อันคนเหล่านั้นก็ล้วนเป็นทหารหาญ ของไทยมาแล้วทั้งนั้น แต่เขาได้ถูกเป็นเชลย ต้องไปสังเวยชีวิตให้กับปัจจามิตร ด้วยความที่น่าสงสาร และบางคนเขาก็กลับไปเกิดได้เป็นใหญ่เป็นโตแล้ว ก็มีบางคนก็ยังตกทุกข์ได้ยาก ฉันจึงอยากจะไปอวยทานให้เขา เมื่อเขาได้รับรู้แล้วเขาจะได้ดีใจ และได้กลับไปกับเรา เพื่อช่วยเหลือบ้านเมืองต่อไป และพระนางท่านอยากจะไป ทัศนาภาวนาอธิษฐานจิต ให้พระน้องยาเธอ ที่พระนางทรงรักทรงโปรดมาก คือ พระนเรศวรมหาราช สวรรคตที่เมืองหาง หรือเมืองฮาง เมืองงอย เขตรัฐฉานของพม่าด้วย ซึ่งมีนครเชียงตุงเป็นราชธานี

ดังนั้นข้าพเจ้าจึงรีบเปลี่ยนแผนการเดินทางกลับทันที เพราะครั้งแรกตั้งใจว่าจะกลับทางปากน้ำสะโตงข้ามแม่น้ำสาละวิน แล้วเข้ามะละแหม่ง ขึ้นเขาตะนาวศรี ข้ามบันจะคีรีบรรพต ผ่านเมืองแครงแสนหวี ตัดตรงเข้าจังหวัดตาก เส้นทางก็ไม่ลำบาก เพราะต้องผ่านดอย ภูฝอยลม ภูเขากล้า ภูม้าเก้าศอก ภูรเม็งภูร ใช้เวลาเพียงเจ็ดวัน ก็ถึงฝั่งน้ำเมย ซึ่งติดกับฝั่งไทย ในเขตจังหวัดตาก แต่ต้องกลับเปลี่ยนแผนใหม่ ไปตามพระประสงค์ของพระนางท่าน ที่จะไปร่ำลาและแจกทาน ก็ต้องยอมเชื่อ เพราะการเชื่อเทวดา เราจะได้สร้างบารมีทานต่อท่าน เพื่ออุทิศให้บริวารเก่าของท่าน ตามลุ่มแม่น้ำสาละวิน เอาเข้าแล้ว ข้าหนักเหมือนจะให้แบกโลกอีกแล้ว แต่พอออกจากแขวงเมืองพะโค ต้องใช้ขบวนช้างบรรทุกของ เราต้องจ่ายเงินซื้อสิ่งของ ที่ท่านต้องการไปแจกทานคือ เสื้อหนาว ผ้าห่มหนาว ยารักษาโรค และสิ่งของสารพัด ใช้เงินไปจำนวนแสนห้าหมื่นบาท สมัยนั้นไม่น้อยเลย ค่าจ้างค่าพาหนะและเงินที่จะไปแจก อีกจำนวนไม่น้อย คราวนี้ต้องเข้าปากน้ำสาละวิน ทวนกระแสน้ำขึ้นเหนือ ใช้เวลาทั้งหมด ในการเดินทางสามสิบห้าวัน ก่อนกลับข้าพเจ้าได้จ่ายเงิน ซื้อสิ่งของที่ จะนำไปแจกทานแก่คนยากจนตลอดทาง แต่สิ่งของที่ท่านประสงค์นั้น ไม่ให้ลืมนั้นคือ พระรูปที่เราทำพิธีถ่ายเอาไว้ และสิ่งที่เหลืออยู่ในโอ่ง ที่เราขุดได้หลายชิ้นคือ ตะว้าแปลว่าฟัน คือฟันของท่าน ยังมีอยู่หลายซี่ ภาษาพม่า แลกแต ภาษาไทยแปลว่า เล็บมือ ได้มาด้วย โป้งต่อ แปลว่า รูปภาพที่เราถ่าย ซินตุ๊ต่อ แปลว่า รูปวิเศษ คือสิ่งที่ท่านเคารพ ปะตีเซ๊ก แปลว่า ลูกประคำทำด้วยนิลสีดำ เพราะท่านเกิดวันเสาร์ คือพระรูปของพระนางสุพรรณกัลยา พร้อมด้วยพระสรีระที่เหลืออยู่ พอเก็บได้ในโอ่งใหญ่ ที่เขาฝังไว้ทั้งสองใบ ตลอดทั้งเครื่องบูชา เครื่องประดับอันล้ำค่าของท่านทุกอย่าง ข้าพเจ้าขออัญเชิญกลับไปพร้อมกันหมด เรื่องไม่หน้าเชื่อก็เกิดขึ้นคือ จู่ๆ แดดจ้าเวลาเที่ยง ฝนกลางแดดก็เทลงมาอย่างหนัก สักประเดี๋ยวก็หยุด มวลมนุษย์ชาวพม่าเขาสาธุกันทั่วหน้า ก่อนออกเดินทาง ก็จุดธูปเทียนร้อยแปดเล่มบูชา พระแม่ธรณีรอบสถานที่ ที่เราเคยอาศัยแห่งละแปดเล่ม ปักไว้กับพระแม่ธรณี แล้วจึงออกเดินทาง โดยขบวนนำส่งอย่างล้นหลาม เขาพากันหามมาส่ง อย่างเอิกเกริก และได้อัญเชิญพระอัฐิและกำไรแขน ของพระนางท่าน ที่ท่านรักและเคารพที่สุดคือ รูปพระแม่อุมาที่เป็นทองคำ แต่เทวรูปองค์ที่เป็นทองคำนั้น ตอนหลังข้าพเจ้าได้นำไปฝากไว้ กับเจ้าคุณพระวิมลเมธี เพราะเราเคารพนับถือท่านมาก เอาไปฝากไว้เฉยๆ ไม่ได้บอกว่าให้เป็นของใคร ภายหลังต่อมา ท่านเจ้าคุณใหญ่ถึงแก่มรณะภาพ ทางวัดก็เลยยึดเป็นสมบัติของวัดทับคล้อไปเลย อย่างนี้มันยุติธรรมไหม ในปัจจุบันทางวัดมันเห็นแก่ได้ มันจะเอาลูกเดียว หรือมันเอาไปขายกินเสียแล้ว ใครจะไปรู้ แต่เราก็พอมีสักขีพยานอยู่ คือพระมหาสำเนียงเท่านั้น ที่เป็นคนแบกไปถวายฝากไว้ และจะยังยืนยันว่า เป็นขอฝากไว้เฉย ๆ มิใช่ของท่านผู้รับฝาก และของวัดแม้แต่ประการใด เอาองค์ท่านมัดรัดติดตัวเรา เดินทางไปลงเรือที่ปากน้ำสาละวิน หันหลังใส่ทิศทักษิณผินหน้า ขึ้นเหนือทวนกระแสน้ำ จากแขวงเมืองชาวบุน (Schawnon) (หรือชาวนัน ซึ่งเป็นเมืองอังวะแต่ก่อนมา) จากชาวบุนถึงทาดอง (Thadon) ใช้เวลา 10 วัน เพราะต้องแวะตามฝั่ง แจกทานไปด้วย ส่วนมากเป็นผ้าห่มกันหนาว เสื้อผ้า และยารักษาโรคดังกล่าวมา จากทาดองถึงลอยกอ (Loikon) หรือบอละเก (Bolake) อันเมืองบอละเกนี้เอง เป็นที่สวรรคตของพระมเหสี และพระประยูรญาติหลายพระองค์ ก็เพราะไข้ป่า และโรคผิดอากาศ และพระเจ้ามหินตราธิราช ผู้ครองเมืองอยุธยา แต่ถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นเชลย จากนั้นจึงแต่งตั้งให้ พระมหาธรรมราชา เป็นพระอุปราชครองราชแทน จากบอละเกถึงเมืองนาย (Noitow) ใช้เวลา 10 วัน จากเมือง NOITOW (เมืองนาย) ถึงเมือง HANDITOW (เมืองหาง) ใช้เวลาเดินทางถึงเจ็ดวัน แบบค่ำไหนนอนนั่น พร้อมด้วยขบวนหาบส่งของ อันเมืองหางนี้ ปัจจุบันชาวบ้านเขาเรียก เมืองฮาง หรือเมืองงอย ท่านสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2150 พระชนมายุได้ 50 พระชันษา เสวยราชสมบัติได้ 15 ปี เป็นสถานที่พระนเรศวรมหาราช เสด็จสวรรคต เพราะโรคไข้ป่า และโรคฝีดาษ อันเมืองนี้เป็นเมืองอิสระ อยู่ในหุบเขา ซึ่งเป็นแหล่งปลูก และผลิตฝิ่น ที่มากที่สุด ดีที่สุดในโลก ซึ่งโลกภายนอก ไม่สามารถที่จะไปถึงได้ในปัจจุบัน ขบวนเราพักผ่อนอยู่ที่นี่ห้าวัน เพื่อทำบุญอุทิศถวายพระองค์ท่าน และก็มีพระเจดีย์เล็ก ๆ ที่ไทยใหญ่เขาสร้าง ครอบที่ฝังพระศพท่านไว้ด้วย เสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อไป จะเข้าเขตแดนไทย ต้องไปตามทางคดเคี้ยว เลี้ยวลดไปมาทางตอนใต้ (เทือกเขาถนนธงชัย อันเทือกเขานี้ ต่อจากเหนือสุดของรัฐฉาน ผ่านพม่าตอนเหนือ เขตภูฐานถึงเขาตะนาวศรี คิดดูแล้วจะเป็นฝีมือของธรรมชาติ มาสร้างเขาทั้งสองลูกนี้ ได้ยาวเหยียดครึ่งทวีปเอเซีย) ทั้งเรือทั้งคนขนส่งเรามากมาย สุดทางเมื่อไหร่มอบเรือ ให้เขาพร้อมด้วยเงินค่าแรงงาน ตามที่เขาต้องการ เรือพายทวนกระแสน้ำ อันไหลเชี่ยวกราก เห็นบ้านคนต้องจอด เขาประกาศว่า เจ้าตนบุญมาโปรดเราแล้ว เราก็แจกของจนหมด ถึงเมืองที่เจริญหน่อย ก็ซื้อเพิ่มเติมอีก ตอนหลังมาเรื่องเรือจ้างต้องเลิก เราจัดซื้อของและจ้างเรือเป็นรายวัน ให้เขาเรียกค่าจ้างตามชอบใจ ไม่เคยต่อเขาเลย เรามีแต่ให้กับให้จำสุภาษิตว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้ขอ พอออกจากเมืองปันเข้าเมืองทน ต้องใช้ขบวนหาบต่อ ขนของกันขึ้นเขาลงห้วย ลูกแล้วลูกเล่า อากาศก็เย็นเพราะเป็นฤดูหนาว ขบวนหาบและแบกของ ต้องเดินป่าผ่านดงกลางพงลึก จิตรำลึกถึงคนึงหลัง ตอนเรานั่งภาวนาหาตัวแฝง ที่หลวงปู่โลกอุดร สอนแสดงให้รู้แจ้งประจักษ์จิต อนิจจัง ตามโอวาทของพ่อโลกอุดรสอนไว้ ท่านให้รู้ตัวจริงตัวเป็นตัวแฝงไว้ในใจตน จงแยะแยกตนตัวจริง กับตัวเป็นออกให้หมด แล้วกำหนดที่ผู้รู้เป็นครูสอน สอนให้รู้อยู่คู่กับดับนิวรณ์ อย่าให้จิตโยกคลอน ผ่อนอารมณ์ข่มจิตใจ เมื่อจิตเผลอไปใจก็กลุ้มรุมกิเลส ชักหาเหตุรักชักฟังไม่ไหว ท่านสอนไว้อย่างไร ก็เป็นจริงทั้งทางรูปธรรม และนามธรรม อันทางรูปธรรมนั้นคือ เราโดนใส่ความว่าเป็นพระตัวการ ก่อให้เกิดความยุ่งเหยิง ในวงการสงฆ์ของพระพม่า เพราะเราออกค่าใช้จ่าย ถวายพระสงฆ์ทั้งหมดที่ไปเดินขบวน จึงเจอเรื่องหนัก ถูกกักขังบริเวณ และโดนสอบสวนทุกวัน ส่วนด้านนามธรรมนั้น คือการค้นหาตัวแฝง รูปแฝงออกมาใช้ได้ผล ก็หลุดพ้นออกมาได้ และตัวแฝงนี้เอง ที่ได้ใช้ให้ไปค้นคว้าเรื่องโลกวิญญาณ จนได้ไปพบพระวิญญาณ ของท่านผู้มีบุญคุณ อันยิ่งใหญ่แก่บ้านเมืองสมัยนั้น คือพระวิญญาณของนางสุพรรณกัลยา และสถานที่เขาฝังพระเจ้าเหนือหัว ของกรุงศรีอยุธยาคือ พระมหินทราธิราช พร้อมด้วยพระประยูรญาติของพระองค์ เราได้ค้นเอาสมบัติและสิ่งหวงแหนของท่านมาสักการะไว้แล้ว ตลอดทั้งได้แก้ไขทางไสยศาสตร์ เวทมนต์กลคาถาให้ท่านได้หลุดพ้น จากการผูกมัดด้วยภัยเวร แล้วเชิญวิญญาณท่านเดินทางกลับ อันกิจธุระ เรื่องแก้เวรแก้กรรมของเรา และท่านผู้มีพระคุณต่อคนไทยทั้งประเทศ ก็ได้มาหมดแล้ว จิตใจก็ผ่องแผ้ว ด้วยสมความปรารถนา จึงมาคิดในใจว่า ก็พระมหาเถระทั้งประเทศ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายๆ ท่าน ทำไมดวงจิต ของพระนางท่าน ตลอดทั้งทวยเทพเทวาฟ้าดิน จึงไม่ไปสัมผัส ให้ต้องเดินทางเข้าไปช่วยบ้าง ส่วนข้าพเจ้าเอง ก็เป็นพระภิกษุสับปะลังเคอย่างเรา ในทัศนะของพระสงฆ์องค์อื่น ๆ ท่านทำไมจึงผูกพัน หรือนิมนต์ให้ไปช่วย จะเอาผู้อื่นไม่ได้หรือ ภายหลังจึงมานึกได้ว่า อันคนที่จะไปช่วยท่านได้นั้น มันต้องเป็นคนบ้าหลายระดับ คือหนึ่งบ้าไม่กลัวความลำบากยากเข็ญ ไม่กลัวตาย เพราะเคยตายมาแล้วหลายครั้ง จากอุบัติเหตุดังจะกล่าวไว้ข้างหน้านี้ เพราะขณะที่ตายโดยมีสตินั้น เราได้ฝึกหัดตายก่อนตายมาแล้วว่า ขณะที่จิตมันไม่สัมผัสกับตัวจริง และตัวเป็นนั้นมันมีอาการอย่างไร อันภาวะของภวังคจิต กับวิถีจิตนั้น มันจะมีอาการอย่างไร แล้วจับเอาตัวเองมาสร้างเป็นตัวแฝง จึงไม่กลัวตายบ้าไม่กลัวตาย ยิ่งตายบ่อยยิ่งดี และบ้าไม่กลัวคนทุกรูปแบบ ในทางที่ถูกต้อง อย่างที่สอง ต้องบ้าระดับเห็นเงินเห็นทอง เป็นของส่วนกลางมิใช่ของเราเอง และเราก็มั่งมีร่ำรวยเหลือใช้แล้ว จึงเห็นว่าเงินคือตัวภัยร้าย เป็นไฟเผากิเลสให้อยากได้มาก ๆ แต่นี้เราพร้อมและมีพร้อมที่จะให้ เพราะพื้นเพเดิมมีเหลือใช้เหลกิน บ้าประเภทที่สาม คือบ้าแบบเดนผีและเดนคน เดนมนุษย์และทั้งผีทั้งมนุษย์เขาไม่ต้องการ คือจะตายไปเมืองผี ผีก็ไม่รับ เพราะเคยมีอุบัติเหตุทางเครื่องบินตก ในต่างประเทศมาแล้ว ผู้โดยสารตายหมด เหลือแต่เราคนเดียว เพราะผีมันไม่ยอมรับ มันบอกว่ากลับไปได้ผีไม่เอา และเคยประสบอุบัติเหตุ ทั้งทางน้ำทางบกไม่ตายสักที และบ้าประเภทที่ไม่แคร์กับลาภยศ สรรเสริญ ไม่เพลิดเพลิน ในอามิสสุข เราบวชมาแสวงหาทุกข์อย่างเดียว ถือว่าทุกข์คือบทเรียนบทรู้ของชีวิต จึงยึดเอาประสบการณ์ของชีวิต มาเป็นบทเรียน และบ้าประเภทที่สี่ คือบ้าหนังเหนียว ปืนยิงไม่เข้าและไม่ตาย (ถ้าลูกปืนไม่ถูก) ห้าบ้าประเภทเป็นคนทำอะไรทำจริง แบบบ้าระห่ำ ทำไม่เสร็จไม่หยุดไม่ยอมเลิก ดูแต่สร้างพระพุทธรูปแจก แจก แจก ฟรี ๆ ไปเป็นแสนองค์ ยังไม่ยอมเลิก แบบบ้าไม่กลัวฉิบหาย ขอบอกว่าข้ามันครบครันในเรื่องบ้า บ้าระดับโลกมนุษย์ และโลกผี ถือว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลาย มิใช่ของเราเป็นของแผ่นดิน ของส่วนกลาง ตายไปแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง เกิดมาจากท้องแม่ ก็มาแต่ตัวเปลือยเปล่า ล่อนจ่อน ผ้าผ่อนสักชิ้นก็ไม่มี แถมยังหลุดจากท้องแม่ตกลงไปในน้ำ ถ้าหมาไม่ช่วยไว้ก็เรียบร้อย โรงเรียนตาย ตายไปแล้ว ร้อนใจพาไปนรกก็เท่านั้นเอง ดังนั้นเองทวยเทพเทวา เห็นพระโง่นองค์นี้แหล ะที่บ้าหนักกว่าผีกว่าคน จึงดลบันดาลให้ต้องไปต่อสู้ และก็คงจะเป็นบุพกรรม ที่ทำไว้ในชาติก่อน จึงย้อนมาสนองผล เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ขบวนพวกเราไปพบถ้ำใหญ่ แห่งหนึ่ง ในระหว่างต่อเขตแดนพม่ากับไทย เป็นถ้ำใหญ่ที่กว้างขวางน่าอยู่ และภายในถ้ำ มีแต่หินสีเขียวเป็นหยดอย่างดี ที่มีค่าๆ (รู้สึกจะเป็นแหล่งหยกที่ดีที่สุด มากที่สุดในโลก เพราะหินทุกก้อนทั้งเขาเป็นหยกทั้งนั้น จึงพากันนั่งพักเอาแรง) ขณะนั้นเองเจ้าเก่งหมาคู่บุญของเรา ล้มลงนอนยาวหายใจระรวยๆ ลิ้นห้อย น้ำลายไหล เอาอย่างไรกันว๊า จึงเอาปรอทวัดความร้อน สอดเข้าปากก็ปกติ หัวใจเต้นปกติ ช่วยกันพยุง ให้มันลุกมันก็ไม่ยอม จึงประกาศร้องขอ ให้พวกขบวนหาบว่า หยุดพักกลางถ้ำนี้เอง เราห่วงเพื่อนตายของเรา คือเจ้าเก่ง ถึงหายาสมุนไพรแถวนั้นคือ เถาหมาว้อ กำลังเสือโคร่ง กรุงเขมา เถาวัลย์เขียว มาต้มให้กินเป็นยาแก้ร้อนใน ช่วยให้หัวใจเต้นเป็นปกติ เพราะเรื่องยาแผนโบราณ การสมุนไพร เราเรียนมา และช่วยรักษาตัวเอง และผู้อื่นได้ผลมาแล้วนี้เป็นหมา อาหารของมันก็มังสะภักษ์ไม่ต่างกับคน ผลที่มันจะหายมีแน่ พวกลูกหาบ ลูกจ้างทุกคนดีใจ เพราะเขาจะได้พักผ่อน ได้ค่าจ้างรายวัน จึงจัดที่พักนอนให้เรา ในคูหาใหญ่นั้นเอง อยู่ใกล้ ๆ กับเจ้าเก่ง ลูกหาบเขาเป็นคนดี รักเรามากหากพวกนั้น เป็นคนไทยมันคงจะร่วมใจกันทุบหัวไปแล้ว เขาจัดแจงที่พักของเขาอีกคูหาหนึ่ง แล้วก่อไฟไว้ให้สองสามจุด เพื่อเป็นแสงสว่าง ดับความมืดในเวลากลางคืน ภายนอกถ้ำมีผาสูงชัน ได้ยินเสียงวิหคนกร้องก้องในไพร เสียงเรไร ไก่ขันสนั่นดง เสียงลิงค่างบ่างชะนีร้องโหวกโหวย เสียงโอ๋ย ๆ บนกิ่งไม้มีเหลือหลาย เสียงผัว ๆ ตัวเมียที่โยนกาย เห็นคนอายแอบอิงกับกิ่งยาง โอ้... น่าเวทนา เจ้าชะนีเรียกหาผัว เหมือนตัวเรา เรียกเจ้าเก่งที่เจ็บป่วยให้ได้หาย เก่งเพื่อนตายจงได้หายจากโรคา ไท้เทวาจงช่วยขัดกำจัดภัย ในคืนวันนั้นตอนดึก เห็นพระสงฆ์ไทยใหญ่ รูปร่างสูงโปร่งน่าเคารพ ท่านเดินผ่านแสงไฟ เข้ามานั่งบนแท่นหินหยก ในถ้ำติดกับที่ข้าพเจ้านอนอยู่ ท่าทางท่านสังวร แบบสมณะเต็มร้อย ท่านออกปากถามข่าวว่า ะมะนิยัง อาวุโส เราก็ตอบภาษาพระว่า ะมะนิยัง ภันเต ท่านก็ยิ้มรับแล้วบอกว่า ในชีวิตของคุณ คุณคงจำได้ว่าท่านกับผมพบกันมาแล้วสาม สี่ ห้า ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว ผมจะสนับสนุนแต่คนที่ทำความดี แล้วไม่หวังผลตอบแทน คุณจำจากบ้านเมืองมาคราวนี้ คุณได้ทำประโยชน์มาก และได้รู้ได้เห็น ได้ศึกษาหาความรู้ทางตัวแฝงได้ดี ยากที่บุคคลธรรมดาสามัญจะทำได้ เพราะต้องฝ่าฟันอุปสรรค นานับประการ แทบจะเอาชีวิตไม่รอดแบบเดนตาย และยังได้บริจาคทานแก่คนที่ตกยาก ใช้เงินส่วนตัวไปแล้วหลายล้านบาท แล้วยังช่วยผู้มีพระคุณต่อประเทศชาติ นั่นคือพระนางสุพรรณกัลยา ที่ได้มีส่วนสัมพันธ์ทางบุญคุณกับท่าน พร้อมด้วยพระธิดาทั้งสองพระองค์มาด้วย คุณรู้หรือเปล่าว่า พระนางท่านมีพระธิดาองค์แรกเป็นทารก เขาปล่อยให้อดตายไปก่อนแม่ แล้วเขาจับยัดใส่ไหลูกเล็ก ฝังไว้ก่อนที่คุณขุดค้นเอานี่เอง และเรียกเอาวิญญาณมาด้วย ส่วนคนที่อยู่ในท้องได้แปดเดือน ถูกฆ่าตายทั้งกลม ด้วยน้ำมือของเจ้ามังสะไชยสิงหะราช หรือนันทบุเรง ไปพร้อมกับแม่ ที่เรียกว่าพระนางตายทั้งกลม ท่านช่วยทางไสยศาสตร์ทางวิญญาณ เอามาหมด และทั้งหมดนั้น เขาจะกลับมาเป็นบุตรบุญธรรมของท่าน ในอนาคต และจะเป็นผู้ชายทั้งสองคน เป็นผู้มีบุญมาก มาเกิดในสกุลทุกข์ยาก แต่เขาจะเกิดมาช่วยสังคม ท่านดูไปก็แล้วกัน คนพี่เขาจะมีชื่อว่าสุริยัน คนที่สองชื่อว่าบุญชุ่ม อีกประมาณสักสามสิบปีข้างหน้า ท่านจะเห็นหน้าเขา และเขาจะรักและเคารพท่าน เหมือนบิดาบังเกิดเกล้า ท่านดูไปก็แล้วกัน สักวันหนึ่งข้างหน้า เขาจะมาหาท่านเอง และแต่ละคนเขาก็จะเวียนว่ายตายเกิด เหมือนท่านเอง เพราะรีบมา สร้างบารมี ไม่ยินดีในทิพยสมบัติ อย่างผู้อื่น เขานิยมกัน ก่อนมาเกิดในชาติปัจจุบัน เจ้าสุริยัน เป็นผู้กอบกู้เอาเมืองถลางเขตปักษ์ใต้ เขาจึงเกิดเมืองใต้ ส่วนเจ้าบุญช่วย (บุญชุ่ม) เขาเกิดมาเป็นเจ้าตนบุญ ผู้โด่งดังในภาคเหนือ คือพระอุปัชฌายะ ของคุณเองต่างคนต่างเป็นครู เป็นศิษย์กันมาตลอด แล้วให้คุณภาวนาว่า ปุพเพวะสันนิวาเสนะ ปัจจุปันนะหิเตนะวา เอวันตัง ฉายะเตเปมัง อุปะรังวายะโถทะเก ถ้าผู้มีจิตสรัางจิตให้เป็นตัวแฝงได้ ภาวนาคาถานี้ จะรู้ชัดเจนว่าชาติปางก่อน ย้อนไปไม่เกิด 5 ชาติ จะรู้ได้ด้วยตนเอง จำไว้นี้เป็นคำเตือน ของหลวงพ่อโลกอุดร จากนั้นท่านก็แนะนำเรื่อง การรักษาตัวจริง คือร่างกายด้วยการกินการนอน การทำงานให้สมดุลย์อย่าใช้มันมาก ส่วนตัวเป็น ให้ลดละทิ้งให้เด็ดขาด อย่ายึดมั่นถือมั่นในตัวเป็น คือตัวเป็นโน่นเป็นนี่ เป็นอะไรต่อมิอะไร ตามวิสัยที่โลกเขาสมมุติกัน อันตัวเป็นนี่เอง คือสมุทัย จะเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ เพราะไปยึดติดมัน อันคนส่วนมากชอบยึดติดอยู่กับตัวเป็นนี้เอง มันจึงทุกข์ ส่วนตัวแฝง ตัวทิพย์ ที่เรารู้เราเห็นมานั้นแหละ ให้สร้างมันขึ้นมา ติดตาตรึงใจไว้ตลอดเวลาได้ยิ่งดี อันตัวแฝงนี้ ยิ่งใช้งานยิ่งมีพลัง ที่จะช่วยตัวเองและคนอื่นได้ ส่วนตัวเป็น ยิ่งนำออกมาใช้ยิ่งยุ่งทั้งแก่ตัวเอง และสังคม ส่วนตัวจริงนั้น ยิ่งใช้งานยิ่งเสื่อมโทรม แก่ง่ายตายเร็ว อันตัวที่จะช่วยให้ตัวจริง ได้มีอายุยืนยาวไม่แก่เร็วตายเร็วได้ ก็อาศัยตัวที่สาม คือตัวแฝงนี้เอง จงจำเอาไว้ และผมขออวยพรให้ท่าน ได้ทำประโยชน์ให้สังคมไปนานๆ และขอเตือนกรรมที่ท่านทำเอาไว้ คือไปยิงปืนขู่ข้าศึก ให้ผิดใจกับพวกนางสนมนางในนั้น เขาไม่พอใจ จึงร้องขอเจ้าเหนือหัว ให้ประหารชีวิต แต่ท่านคิดทัน หลบหนีออกเวลากลางคืน ขนสมบัติไปด้วย ไปฝังเอาไว้ ที่ไม่ไกลจากวัดที่เมืองอยุธยา ที่พระพลรัตน์ไปเกิด อันสมเด็จพระพลรัตน์นั้น คือท่านครัวโต (สมเด็จโต พรหมรังสี) อันวีรกษัตริย์ตั้งแต่อดีตนั้น ท่านได้สืบสันติวงศ์ ทางบุญกุศลกันมาตลอด คือ พ่อขุนราม ก็มาอุบัติในวงศ์จักรี องค์ที่ 5 คือ พระปิยะมหาราช คุณอย่าลืมว่า วงศ์กษัตริย์ในเมืองสยามไทยนั้น ท่านมีการสืบสันตะติกันมา หลายชาติหลายภพ ซึ่งแต่ละท่านทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเมือง ที่คนส่วนมากยอมรับนับถือเอามากๆ ท่านเหล่านั้น ก็กลับมาเป็นกำลังของชาติ ในยุคปัจจุบัน คือ ระดับเจ้า ระดับขุนพล ขุนทัพ แม่ทัพ ในยุคนี้สมัยนี้ทั้งนั้น ส่วนลูกชายบุญธรรมของท่านทั้งสองคนนั้น เขามีตัวแฝงมาแต่กำเนิด เขาเลี้ยงตัวได้ และท่านเองก็รักเขาจริงๆ เหมือนลูกในไส้ และเขาทั้งสองจะเกิดมา สนองกรรมไว้ชาตินี้เท่านั้น แล้วก็จะทำจิต ให้ถึงพระอนาคามี ไม่มาเกิดอีกแล้ว ผมขอฝากไว้ด้วย เพราะเขาจะช่วยสังคม และคนทั่วไปตลอดชีวิตของเขา และเขาก็ปราศจากคู่ครอง ท่านดูเองก็แล้วกัน ผมไปละลาก่อน พบกันใหม่ ที่เทือกเขาหิมาลัย ในอีกไม่นานนัก เพราะท่านจะต้องตามถนอมรัก ลูกคนที่สอง ซึ่งอยู่ที่หิมาลัยประเทศ

ในเวลาที่ข้าพเจ้านั่งฟังมันเป็นอาการครึ่งหลับ ครึ่งตื่น ครึ่งฟื้น ครึ่งฝัน และก็ฝันดีด้วย ช่วยให้เรามีกำลังใจ คิดอีกอย่างว่าก็ทำไมหนอ พระสุพรรณกัลยา ท่านไม่บอกเราในเรื่องนี้ นี่เราเอาพระวิญญาณ ของทั้งสามแม่ลูกมาด้วย ดีเหมือนกัน เราจะได้สัมผัสกับแม่ม่ายลูกสอง ตอนนั้นรุ่งอรุณ เวลาฟ้าสางพอดี เจ้าเก่งหมาคู่บารมี มันลุกออกวิ่งอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับมัน เป็นเพราะเราเอายาสมุนไพรกรอกปาก และยาปะคบให้มันจึงหาย หรืออะไรชอบกล มันร่าเริงเข้ามาหา ส่อสายตาฝากความรักประจักษ์จิต ดีกว่ามิตรที่เป็นคนล้นเหลือหลาย จึงมานึกว่า ถ้าไอ้เจัาเก่งมันไม่ทำอาการป่วย เราพร้อมคณะ ก็ผ่านด่านดงพงป่าเหล่านี้ไปแล้ว และก็จะไม่เจอท่านผู้มีปัญญา ผู้มีบุญมาโปรดเราอย่างนี้เลย นี่เจ้าเก่งมันเป็นหมาแสนรู้ รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กับเพื่อนของมัน คือข้าพเจ้าแต่ตัวข้าพเจ้าสิโง่ และโง่ยิ่งกว่าหมาเสียอีก เพราะไม่รู้ล่วงหน้า อะไรจะเกิดขึ้น ตกลงเรายอมแพ้หมา ยอมให้หมาที่ฉลาดกว่าเรา เข้าตำราว่า โง่ไม่เป็นเป็นใหญ่ยาก โง่ไม่เป็นฉลาดไม่ได้เลย

การเดินทางต่อ เราข้ามภูเขาหลวง ที่ขวางกั้นพม่าตอนบน กับไทยตอนเหนือ ได้ใช้เวลาอีกสิบห้าวัน ออกช่องทางบ่อเบี้ย เพราะต้องเดินอ้อมขุนเขาที่สูงชัน จากเหนือล่องใต้ จากเมืองปันเมืองทนล่องใต้ออก เขตอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ พวกขบวนหาบ ส่งเขาก็ลากลับบ้านเมืองของเขา เราจึงโทรเลขถึง เจ้าทิพย์วรรณ และนายพันเอกประภาส จารุเสถียร ผู้ที่เคยเคารพนับถือกันมาตลอด ท่านจึงส่งรถสองคัน ขึ้นไปรับกลับเชียงใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม 2493 ส่วนสิ่งของต่าง ๆ จำนวน 3 หาบ เราฝากไว้กับบ้านเจ้าทิพย์วรรณ เพราะไว้ใจท่านมาก และท่านก็เป็นเจ้า ระดับเจ้าฟ้าหญิง แห่งนครเชียงตุง รัฐฉาน สหภาพพม่า ซึ่งก็เป็นสายญาติผู้ใหญ่ ของโยมมารดาของเราเอง ส่วนข้าพเจ้ากับเจ้าเก่ง ก็เข้าป่าแสวงหาวิเวก พร้อมด้วยพระรูปของพระสุพรรณกัลยา และท่านสั่งว่า รูปพระน้องยาเธอของท่าน คือพระนเรศวรมหาราช ก็ให้หล่อไว้พร้อมกัน ท่านสั่งว่าอีกในไม่ช้า พม่าเขาจะมีพระรูปของเจ้าบุเรงนอง ไว้ใกล้ชิดติดแดนไทยในภาคเหนือ ของประเทศเพราะเขาถือว่า ผู้เอาชัยชนะไทยได้ มีเจ้าบุเรงนองพระองค์เดียวเท่านั้น เขาจึงจะสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ใกล้เขตแดนไทย และแล้วขอให้ท่าน อัญเชิญพระรูป ของพระนเรศวร ไปประทับไว้ฝั่งไทย ให้หันหน้าใส่กัน อย่าให้ห่างกันเกินกว่า 1,000 วา ให้สองเสด็จได้ทัศนา เจริญสัมพันธมิตรไมตรีต่อกัน และไทยกับพม่า ก็จะเป็นเสมือนแผ่นดินเดียวกัน ทางจิตใจ และจะได้เจริญสิริวิไล ทั้งสองประเทศ เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นแล้วคือ จู่ๆ เมื่อปี 2540 นี้เอง พม่าก็สร้าง อนุสาวรีย์ของเจ้าบุเรงนอง ขึ้นไว้ที่ท่าขี้เหล็ก ระยะติดชิดกับฝั่งแม่สาย หันหน้ามาทางฝั่งไทย ใคร ๆ ไประยะนี้ ก็จะเห็นเจ้าบุเรงนอง ข้าพเจ้าจึงจะอัญเชิญพระบรมรูป ของพระนเรศวร ไปประทับไว้ที่ฝั่งไทย ให้อยู่ตรงไหนก็ได้ แต่ต้องให้ไกลกันเกินกว่าสองพันเมตร ที่อำเภอแม่สาย หันพระพักต์ไปทางพม่า ให้ทั้งสองพระองค์ ได้หันหน้าใส่กันอีก เรื่องก็นับว่าเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว ที่พระนางท่านบอกไว้เมื่อ 50 ปีก่อนโน้น จึงนับว่าเป็นความฝัน จะเป็นความจริงขึ้นมาจนได้ เพราะพระรูปข้าพเจ้าได้หล่อไว้ก่อนแล้ว เป็นพระรูปขนาดเท่าตัวพระองค์จริง เพราะข้าพเจ้าเชื่อความฝันของตัวเอง จึงลงมือปั้นหล่อไว้ก่อน ขณะนี้พระรูปก็อยู่ที่ข้างกระท่อมของข้าพเจ้าเอง พร้อมที่จะอัญเชิญไปได้ทุกเมื่อ ขอบอกว่า อันพระวิญญาณอันบริสุทธิ์ ของพระสุพรรณกัลยา พร้อมด้วยทาริกาทั้งสองนั้น ตกเป็นของคนไทยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2491 และได้เดินทางถึงแผ่นดินไทย เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2493 และได้ทำการหล่อรูปของพระนางท่านเมื่อ พ.ศ. 2535 ปิดมาเป็นความลับแต่แรกเริ่ม ครบห้าสิบปี และได้เจอกับกุลสตรี บุตรสาวของท่าน เมื่อปี 2520 คนแรกที่งานวางศิลาฤกษ์อาคาร ร่วมกับสมเด็จพระญาณสังวร ตอนนั้นพระองค์ท่าน ยังไม่ได้สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช เจ้าหมอสุริยัน เขาเป็นเจ้าพิธีพราหมณ์ มีคนนับถือเขามาก เขาเข้ามาขอมอบตัว เป็นลูกบุญธรรมตลอดชีวิต และเมื่อเขาบวชเป็นบรรพชิต คือเป็นพระภิกษุ จากสมเด็จพระญาณสังวร และครั้งที่สอง บวชที่วัดสระเกตุ เขาบวชวันนั้นเสร็จ เขาก็ไปอยู่กับข้าพเจ้าตลอด ลูกคนนั้นคือคุณสุริยัน อริสังวโร หมอหยองที่คุณรู้จักทุกวันนี้ ส่วนคนที่สองคือ เจ้าบุญชุ่ม เขารู้จักกับข้าพเจ้าตั้งแต่เป็นเด็ก เป็นเณร ตอนที่เขาเป็นสามเณรนั่นซิเอาเรื่อง มาให้เราแทบจะบ้าตาย เรื่องเขาเป็นสามเณรรูปหล่อ ข้อปฏิบัติเคร่งครัด คนก็นับถือมาก อยากจะไปอยู่หิมาลัยประเทศ คือเขตตอนเหนือ ประเทศเนปาล ข้าพเจ้าเอง กับคุณโยมประดิษฐ์ วิชาพานิช คุณเม่ง นายช่างภาพ คุณบุญไชย ใครอีกบ้างก็จำไม่ได้ นำขึ้นเครื่องบินเหินฟ้า พำนักปฏิบัติภาวนา ไปหิมาลัย เอาไปฝากไว้กับพระอมริตตะเถระ เจ้าคณะใหญ่ประเทศเนปาล ท่านสมภาร และเป็นประมุขของสงฆ์ ก็ยอมรับลูกบุญธรรม ของเรา เพราะก่อนเราเคยพบกันที่พม่า พอออกพรรษา ข้าพเจ้ากับคุณประดิษฐ์ วิชาพาณิชย์ คุณวิภาวรรณ หมอพิลาทั้งครอบครัว พากันไปเยี่ยมไปทอดผ้าป่า ถวายค่าอาหาร แล้วเดินทางต่อ ไปนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในเมืองนั้นประเทศนั้น ตอนขึ้นไปทางเหนือติดแดนจีน คือเมืองยาลัม และอเวเลสต์ เชิงเขาหิมาลัยนั้น ตรงนั้นเขาเล่าว่า เป็นเวียงวังบ้านเกิด ให้กำเนิดของ หลวงปู่พระครูโลกอุดร ชื่อจริงของท่านคือ พระอุตระ น้องชายชื่อพระโสณะ ที่มีกล่าวในอนุพุทธประวัติ ที่ท่านถูกส่งเป็นสมณะฑูตไทย เดินทางมาให้กำเนิดพุทธศาสนา เผยแพร่ในแดนสุวรรณภูมิ คือแดนทอง ได้แก่ พม่า ไทย ลาว และเขมร โดยเฉพาะคนไทยหลงใหลกันมาก จึงมีหลวงพ่อโลกอุดรปลอม ที่คนผู้ละโมบโลภหลง เอาชื่อท่านมาขายกินกัน ในสังคมไทยหารู้ไม่ว่า หลวงปู่โลกอุดรเกิดที่ไหน จะสัมผัสได้อย่างไร เห็นก็แต่หลอกลวงกันทั่วไป ในคราวนั้น เราไปกันหลายคน เพื่อนมัสการโบราณสถานที่นั่น และทั่วหิมาลัยประเทศ จึงขอบอกตรง ๆ ว่า หลวงพ่อโลกอุดร คือพระอภิสมานกาย มีกายทิพย์ จะเกิดจะดับเมื่อไรก็ได้ ท่านจะเสด็จโปรดทุกแห่ง แต่แห่งใดมีจิตใจเป็นพระนักรบ คือรบกวนชาวบ้าน เพื่อแสวงหาลาภผล ไม่ว่าคน ไม่ว่าพระ ท่านไม่เอาด้วย และไม่ปรากฏให้เห็นเลย ท่านจะช่วยแต่ผู้ที่เสียสละ มีแต่ให้กับให้ และช่วยคน โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ และต้องได้ตัวในคือ ตัวแฝงด้วย และตัวแฝงเอาออกมาใช้ได้ด้วย อันเจ้ากูที่หนาด้วยกิเลส หาทางร่ำรวย ฉวยโอกาสนั้น เมินเสียเถิดอย่าหลอกเขาต่อไปเลย บ้านช่องของท่านอยู่ที่ เมืองอุตระ ยาลัมอเวอเลสต์ เขตติดต่อกับแดนจีน เชิงเขาหิมาลัยโน้น

ตอนไปคราวนั้น เราได้พำนักแสวงบุญไปชม ไปนมัสการสถานที่เก่าแก่ และศักดิ์สิทธิ์หลายแห่ง เกือบทั่วหิมาลัยประเทศ การไปเที่ยวที่นั่นวันนั้น เมื่อพากันชมสถานที่ ที่พระผู้มีบุญมาเกิด พวกเราก็รู้สึกดีใจ ทันใดนั้นเอง สามเณรเจ้าบุญชุ่ม ก็ลองภูมิข้าพเจ้าว่า พ่อครับ หนังสือในแผ่นหินป้ายใหญ่ๆ นี้ ลองอ่านซิหลวงพ่อ เราก็อ่านดัง ๆ ให้ทุกคนได้ยิน หนังสือนั้นเขียนเป็น อักษรฮินดี และกูต๊าฟ มีประมาณ 30 แถว แล้วกำลังจะแปลให้ลูกศิษย์ฟัง ประเดี๋ยวนั่นเอง แทนที่จะเป็นน้ำไหลออกมา อย่างเจ้าบุญชุ่มบอก แต่เป็นพระสงฆ์รูปร่างใหญ่ เดินออกมาจากป้ายหินอันนั้น ซึ่งก็มีรั้วทองแดงสูง 2 เมตร กั้นไว้ ท่านเดินออกมาได้ เสมือนไม่มีรั้วกั้นเลย ท่านเดินยิ้มออกมา จับมือข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า จะมะนิยังอาวุโส เราก็ตอบท่านว่า ขะมะนิยังภันเต (เป็นภาษาพระสงฆ์ ท่านถามข่าวคราว กันตามธรรมเนียม) ถ้าแปลเป็นไทยให้ตรง ๆ ว่า ท่านยังทนไหวหรือ (หรือท่านยังไม่ตายหรือ) แล้วก็ขอถ่ายรูปรวมกัน ข้าพเจ้ายืนกลาง สามเณรบุญชุ่มยืนด้านซ้าย พระอาคันตุกะยืนขวา วันนั้นมือกล้องถ่ายหลายท่านร่วมกัน ถ่ายเสร็จแล้วก็จากกัน พวกโยม ๆ ก็อยากรู้ว่า ท่านเป็นใคร ทำไมจึงแสดงความสนิทสนม กับอีตาโง่นมากนัก ขนาดจับมือถือแขนหยอกล้อกัน ถึงกับเอามือลูบหัวโล้นอีตาโง่นได้ แต่ท่านหัวล้านใส ในสายตาท่านคมสงบเสงี่ยม พระหัวล้านกับพระหัวโล้น เจอกันมันแท้ ๆ แต่รูปถ่ายที่ออกมารูปท่านกลายเป็นพระแขก มีผ้าพันหัวเอาไว้ มิใช่หัวล้านสักหน่อย พวกโยมๆ จึงฮือฮาถามว่า ทำไมถึงเป็นไปอย่างงี้ เราก็ตอบเขาว่า ก็ฝากพนัก ที่เป็นก้อนหินป้ายนั้นแหละ เป็นที่อยู่ของหลวงปู่โลกอุดรเกิด ถิ่นกำเนิดของท่านอยู่ ณ ที่นี้ องค์ที่ท่านจำแลงรูป ออกมาจากก้อนหินนี้ คือหลวงพ่อโลกอุดร ท่านเป็นพระอริยเจ้า ระดับอภิสมารกาย คือกายทิพย์ จะปลอมแปลงตัว ให้เป็นอย่างไรก็ได้ นี่รู้ไหมว่าพวกเราเข้ามาที่นี่ มิใช่ที่ราบเรียบ แต่เราเดินมาอย่างสบาย ขึ้นเขาหิมาลัยมาได้ อย่างไม่รู้ว่ามันสูงชัน ดูโน้นซิโยม หิมะที่ปกคลุมเขาอเวอเลสต์ ขาวโพลนไปหมด แต่ขากลับเราก็จะเดินสบาย เพราะต้องเดินลงได้อานิสงส์มาก ทุกคนก้าวหน้าร่ำรวยสบายแล้ว รูปนั้นถ่ายด้วยกล้องโพโลรอย รูปจะออกมาให้เห็นทันที แต่ที่ถ่ายด้วยกล้องอย่างดีนั้น วันหลังเอาฟิลม์จากกล้องอย่างดี มาล้างดูจะเป็นอย่างไร และเมื่อล้างดูแล้ว ก็เป็นเหมือนกันหมด ดังที่เห็นในภาพนี้เอง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็เป็นเรื่องของท่าน ขอให้คิดเอง แต่ผู้เขียนเชื่อเต็มร้อย เพราะเราถ่ายในสถานที่เกิดของท่าน

... ติดตามตอนต่อไป ...
... กลับไปยังหน้าแรก ...