คัดมาจากหนังสือ .. "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา" .. เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย (หน้า 26-30)

ตามรอยกรรมนำเที่ยวโลกวิญญาณ กัมมุนา วัตตะตี โลโก (สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม)

อันเวรกรรมที่กระทำเอาไว้ จะให้ผลแน่นอน จึงขอย้อนกล่าวไปถึง บุพกรรมของผู้เขียน เพื่อเรียนเจริญพร ให้ท่านผู้อ่านเรื่องย้อนรอย ถอยหลังอีกนาน อันประวัติการณ์ย้อนรอยกรรม ที่ไปเกี่ยวกับพระประวัติ ของพระนางสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมา ซึ่งท่านผู้อ่านได้ทราบ เรื่องมาแล้วนั้น อันเรื่องพื้นเพเดิมของมารดา โยมแม่ของผู้เขียนเอง มีภูมิลำเนา อยู่แถบรัฐฉานไทยใหญ่ ได้ถูกกวาดต้อนมาอยู่เขต เมืองโยนก เชียงใหม่ และแม่มาเกิดที่จังหวัดลำพูน แถวบ้านปาง อำเภอป่าซาง ส่วนตระกูลของโยมบิดา เป็นคนอยุธยา มีอาชีพรับจ้าง เป็นหัวหน้าล่องแพไม้สัก ให้กับบริษัทบางกอกด๊อก แล้วไปมีความสัมพันธ์ ความรักกันแล้วแต่งงาน เมื่อตั้งท้องได้สามเดือน คุณโยมมารดา เข้าวัดจำศีลอุโบสถอยู่วัดบ้านปาง เมื่อท้องแก่ได้เก้าเดือน คุณพ่อก็ขึ้นไปรับ ล่องแพมาตามลำน้ำแม่ปิง ใช้เวลาร่วมเดือน จึงมาถึงปากน้ำโพ จอดแพไว้แบบเอาแพเป็นบ้าน ข้าพเจ้าผู้เขียนก็ได้เกิดลืมตาดูโลก ในกลางสายน้ำนี้เอง ดังนั้นชีวิตเบื้องต้นของผู้เขียน จึงไม่มีบ้านเลขที่เกิด คือเกิดในแม่คือแม่น้ำ และแม่จริงเป็นคนแปลก ที่เกิดขึ้นมาจากสองแม่ ระหว่างแม่ปิง กับแม่น้ำน่านรวมกัน และเวลาเกิดก็เกิดโดยอุบัติเหตุ คือแม่ไม่รู้ตัวว่าลูกจะออก เพราะอุ้มท้องมาได้ 11 เดือนกว่า เมื่อปวดท้องปัสสาวะ แม่ก็ถ่ายปัสสาวะบนร่องแพนั่นเอง เจ้าลูกอยู่ในท้องคือ ผู้เขียนเองก็หลุดออกไปตกลงในน้ำ ขณะนั้นสุนัขชื่อเจ้าเก่งเพื่อนรักของพ่อเอง ก็กระโจนลงไปคาบขาเอาไว้ พาว่ายน้ำขึ้นมาออกเสียงว่า อุแว๊ อุแว๊ โยมพ่อกระโดดลงไปช่วยเอาไว้ ถ้าไม่มีสุนัขชื่อเจ้าเก่งแล้ว ผู้เขียนคงจะมรณัง มรณาเป็นเยื่อปลาไปแล้ว แม่จึงสั่งไว้ว่า ให้รักหมาเลี้ยงหมา เพราะเขาเป็นผู้มีบุญคุณแก่เราเอง แม่ก็ตั้งชื่อให้ว่า เจ้าเก่ง ชื่อเดียวกับหมา ตกลงว่า หมากับฉันมีชื่อเดียวกัน

เมื่ออายุได้สิบกว่าปีท่าน Dermonsh (เดียร์มองเซ) ผู้มีหุ้นใหญ่ในบริษัท และใหญ่ในทางการเมือง ในด้านเอเซียตะวันออกทั้งหมด ขอไปเป็นบุตรบุญธรรม แล้วนับถือศาสนาคริสต์ จนเติบใหญ่อายุได้ 25 ปี

เมื่อกลับเมืองไทย แม่ก็ขอร้องให้ถือศาสนาพุทธ ก็รู้สึกฝืนความนึกคิด เพราะติดพระคริสต์เสียแล้ว แต่นี่แม่ขอ ขอให้ไปศึกษาทาง ศาสนาพุทธ จึงขึ้นไปทางเหนือถิ่นเดิมของแม่ ก็รู้สึกว่าน่าศึกษาในความเป็นมาของตุ๊เจ้าองค์หนึ่งคือ ตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย เพราะในชีวิตของท่าน มีแต่ การต่อสู้ ท่านสู้เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา วัฒนธรรม สังคม แต่ท่านก็มีแต่เรื่องถูกจับกุมคุมตัวมาสอบสวนที่กรุงเทพถึง 5 ครั้ง อันนี้เองทำให้เราน่าเลื่อมใส เพราะปฏิปทาของท่านองค์นี้ จะเป็นที่ยอมรับของคำสอนทางฝ่ายคริสต์ เพราะพระคริสต์ท่านสอนว่า พระผู้เป็นเจ้า ท่านเกิดมาเพื่อประโยชน์สุขของชาวโลก ผู้ได้เสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อความอยู่รอด ของสังคมของมวลมนุษยชาติ เป็นชีวิตที่มีค่า จึงตัดสินใจบวช ปีแรกในฝ่ายมหานิกายอยู่กับตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย ได้รับโอวาทจากท่านว่า ชีวิตที่มีค่าแก่สังคม เราต้องฆ่าตัวเอง คือฆ่าความเห็นแก่ตัว ฆ่ากิเลส ต่อไป คุณจะเป็นคนร่ำรวย มั่งมีศรีสุข แต่คุณอย่าติดมัน ทรัพย์สมบัติคือ ตัวทุกข์ ยศคือตัวผี ผีร้าย ผีหลอก สังคมเขาหลอกใหัติดมัน สรรเสริญคือตัวมาร สุขอันเป็นโลกียะ คือตัวหลุมเลนในส้วม พระอริยเจ้าท่านเบื่อหน่าย เหม็นเน่าเจ้าจงจำไว้เน้อ แต่อย่าลืมเรื่องเวรกรรมที่ทำไว้มันจะเป็นเงาตามตัว ตามสนองผล

เมื่อปี พ.ศ. 2481 ข้าพเจ้าได้ 1 พรรษา ตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัยก็มรภาพ ไปสู่อนาคามีนี้ ท่านกล่าว ในขณะที่ท่านจะสิ้นใจว่า อนาคามีๆ ผู้ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองก็เร่ร่อนรอนแรม เป็นพระธุดงค์ทรงกลด พระธุดงค์ทรงรถยนต์บ้าง ทรงรถไฟบ้าง พระธุดงค์ทรงเรือไฟ ไปทุกแห่งจนถึงธิเบต และทั่วเมืองไทย อีกใจหนึ่งนึกอยากเป็นหมอสอนศาสนาเข้าหาคริสต์อีก จึงไปเจอ หลวงพ่อครูบาวัง ที่วัดบรมนิวาส เห็นท่าน สั่งสอน เข้าหลักธรรมชาติประยุกต์เข้ากับวิทยาศาสตร์ที่เราได้ศึกษามาก่อน พระเถระองค์นี้ มีพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ จริงๆ ไม่เหมือนที่เราเห็นมามาก ต่อมากที่บอกแต่ปาก ส่วนจิตใจกับไปเป็น พุทธัง เอาสะตังสะระณัง และเป็นพระที่มีตัวแฝงอยู่มาก ยากที่จะหาพระนักปฏิบัติสมัยนั้นเหมือนท่าน เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันเป็นโลกียะ ท่านลดละแทบทั้งหมด มีแต่ความรู้ถึงภาวะจิตใจคนที่เรียกว่า มโนมยิทธิญาณ เพราะข้าพเจ้าเองชอบทดสอบ ทดลอง ท่านทายความรู้สึกนึกคิดว่าอะไรเป็นอะไร คิดอยู่ในใจ ท่านรู้หมด แล้วเรียกให้เข้าพบ ท่านจะแก้ไข แก้ความข้องใจ ในเรื่องเราคิดแบบธรรมชาติ กับหลักวิทยาศาสตร์ ทั้งฟิสิกส์และเคมีมาอธิบายให้ฟังจนหายสงสัย อันพระสงฆ์ทั่วๆ ไป ที่ได้พบมาจะไม่มีความรู้อย่างนั้น จึงติดตามท่านไป ท่านชวน ให้ยัติเป็นธรรมยุตเมื่อ พ.ศ. 2485 ที่วัดศรีเทพ จังหวัดนครพนม แล้วขึ้นเขารังกา เพราะเห็นว่า ปฏิปทาของพระอาจารย์วัง ใกล้ชิดกับตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย เพราะนิสัยท่านไม่ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ และสุขทางโลกียะวิสัย ไม่เหมือนพระสงฆ์ไทยบางท่านที่เราเห็นมา

ต่อมาภายหลัง เมื่อปี พ.ศ.2489 ข้าพเจ้าไปธุดงค์ทางภาคเหนืออีกหลายแห่ง ในเขตเมืองโยนก เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน แล้วมาปักกลด อยู่ที่วัดพระบาทตากผ้า ในคืนวันหนึ่งได้ฝันนิมิตไปเห็นตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย ท่านมาให้โอวาทว่า ชีวิตที่ไม่มีอุปสรรค ไม่มีเรื่อง เป็นชีวิตที่ไม่มีบทเรียน ชีวิตที่ไม่เคยผ่านกับความทุกข์ เป็นชีวิตที่โง่ เราอยากจะให้คุณ ไปแสวงหาต้นกรรมของคุณที่เมืองอยุธยาโน่น จะได้รู้ ได้สู้กับกรรมเวร ที่คุณทำมาแต่ อดีตชาติ จึงขึ้นรถไฟ จากลำพูนถึงอยุธยาลงจากรถไฟ แล้วเดินต่อเข้าเมืองเก่า ที่มีแต่วัดวาอาราม เวียงวังเก่าๆ ที่ชำรุดทรุดโทรม เพราะถูกเผา ทำลายมาหลายครั้ง จากน้ำมืออันโหดร้ายของข้าศึกในสมัยก่อน เราพักนอน ทำความเพียรทางจิตอยู่ที่นั่น 7 วัน ซึ่งแต่ละวันเมื่อจิตฝันไป ก็เห็นแต่ พวกมนุษย์มีเวรมีภัย รบราฆ่าฟันกันไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น อีกสองวันต่อมาจึงเดินธุดงค์ข้ามทุ่งนา ไปปักกลดอยู่ที่ภูเขาทอง ในคืนแรกนั้นเอง ฝันไปว่า ตัวเองไม่ได้เป็นพระภิกษุ แต่เป็นนักรบเคยสู้รบกับข้าศึกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วที่สุดก็แพ้เขา แล้วเราก็ถูกกวาดต้อน ไปเป็นเชลยอยู่ต่างแดนทาง ทิศตะวันตก แล้วมองเห็นภาพชัดเจนว่าเราไปไหน เขาทำทารุณกรรมอย่างไรกับเรา และกับคณะของเรา ว่าได้รับความทุกข์ ความทรมาน อย่างแสน สาหัสสากันอย่างไร ขณะนั้น ได้ยินเสียงก้องเข้ามาในโสตประสาทว่า ท่านต้องรีบไป ไปตามรอยกรรม ไม่ไปไม่ได้จะไม่มีใครแก้ไข ในภาวะวิกฤตอย่างนี้ จึงรีบไปเมืองพะโค คือเมืองหงสาวดีโน้น เพราะถ้าไม่ไปผู้เป็นมิ่งขวัญ ดวงตา ดวงใจ ของคนไทย จะมาไม่ได้ และมีท่านองค์เดียวเท่านั้น ที่จะช่วย ให้คนไทยให้พ้นภัย

เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา หลังจากฉันภัตตาหารแล้ว ก็ออกเดินทางเมื่อวันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2490 ขึ้น 12 ค่ำ เดือนห้า ปีกุล ซึ่งมีเครื่องบริขาร ของพระธุดงค์ ทั้งสะพาย แบก หิ้วพะรุงพะรัง เดินรอบประทักษิณ พระเจดีย์ภูเขาทอง แล้วก็ออกเดินทาง มุ่งสู่เมืองวิเศษชัยชาญ ศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ล่องใต้สู่เขาพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี เราไปพักค้างคืนอยู่วิเวกที่นั้น เราพักปักกลด อยู่ระหว่างเจดีย์สามองค์ ซึ่งนับว่า เป็น สถานที่ท้องถิ่นดินแดนที่มีการรบราฆ่าฟันกันมากที่สุด ในพื้นแผ่นดินสยาม เพราะในนิมิต ฝันไปเห็นผู้คนล้มตาย เกลื่อนกลาดตลอดสัตว์ คือช้าง ม้า ก็ล้มตายกัน น่าสยดสยองยิ่งนัก หากนักประวัติศาสตร์ และนักธรณีวิทยา พากันมาขุดค้นหากันจริงๆ ก็คงจะเจอกองกระดูกของคน และสัตว์มากที่สุด และจะมากกว่าทุกๆ แห่ง ในพื้นแผ่นดินสยามไทย แต่ในนิมิตจิตใจของเราเอง ก็ยังอยากจะเดินทางไปให้ถึงที่สุด รุ่งขึ้นวันหลังก็เดินธุดงค์ต่อแบบ เอกะจาริโก (เดินคนเดียว) ใช้เวลา 3 วัน ถึงถ้ำมะเกลือ เมืองปิล๊อก ซึ่งเคยมาก่อนแล้ว พักค้างคืนได้สองวัน แล้วออกเดินทางต่อ ผ่านอำเภอไทรโยค เข้าเมืองสังขละบุรี ใช้เวลาเดินทาง จากเขาพนมทวน จึงด่านเจดีย์สามองค์ ใช้เวลา 7 วัน แล้วพักเอาแรงอยู่ที่นั่น 7 วัน เพราะเราไปแบบไม่รีบร้อน ไปตายเอาดาบหน้า โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง แต่ที่ฝันเอาไว้ว่า จะต้องไปเมืองพม่าให้ได้ ตามนิมิตฝัน นี่แหละท่านผู้อ่าน อันคนที่ชอบเชื่อความฝัน สักวันหนึ่งจะเจอเรื่องดี แถมจะเอาชีวีไม่รอด ดังจะกล่าวต่อไป คือ ได้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า มันเรื่องอะไร ที่ต้องเข้าไปเมืองพม่า อันเป็นเมืองไร้ค่า ล้าหลัง ไร้อิสระภาพ ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตกเป็นร้อยๆ ปี เพราะความระยำ อัปรีย์ของมันที่มาเข่นฆ่าทารุณคนอื่น แล้วเผาผลาญ เมืองอโยธยา ซึ่งแต่ก่อนรุ่งเรืองมั่งคั่ง ดังเมืองฟ้า เมืองสวรรค์ มันมาเผาผลาญ ให้เหลือแต่ซาก เราผ่านอุทยานเมือไร มันดลใจให้น้ำตาไหลทุกที เพราะความแค้น แค้นที่มันมาเข่นฆ่า ราวีพี่น้องไทย ให้เหลือแต่กระดูก ฝังไว้ใต้พื้นพสุธา ที่ผ่านมาในชีวิต เราได้ไปอยู่ ไปรู้ ไปเห็น เมืองที่เขาเจริญ รุ่งเรืองมาแล้วทุกมุมโลก คือยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เราไปเห็นมาแล้ว และอยู่มาแล้ว แห่งละหลายปี นี้มันเมืองพม่าเมืองล้าหลัง เพราะคงเป็นเวรกรรมของมันแท้ๆ ที่ยกทัพมารังแกคนไทย ละลอกแล้วละลอกอีก นี้เราจะไปทำไม ไปแล้วจะได้อะไรมา แต่เราจะไปเพราะฝัน (ก็ฝันบ้าละซิ) ฝันไปหาเหตุ ดีไม่ดีตายเอากลางทาง

จึงมาคิดได้ว่า นานเหลือเกินเดินทางกลางความทุกข์ ทั้งล้มลุกคลุกคลานซมซานขวัญ ใจรอนๆ อ่อนล้ามานิรันดร์ เหลือแต่ฝันพอแฝง เลี้ยงแรงใจ จึงตกลงว่า เอ๊าไปก็ไปเป็นไรเป็นกัน ก็ความฝันมันจะให้ไปไปใช้กรรม ใช้เวรที่ตัวเองก่อไว้แต่ปางก่อน มันคงย้อนกลับมาเวรานุเวร มันหนีไม่พ้นต้องตามสนองไม่เร็วก็ช้า นับว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด เท่าที่ฝันไปเห็นเรื่องว่า ในอดีตชาติ เราเคยเป็นนักรบผู้มีฝีมือ และเป็นนายช่าง เป็นหมอผี หมอยา หมอเทวดา สารพัด ยอดตลบตะแลง เมื่อแพ้สงครามสมัยพระเจ้ามหินทราธิราชครองเมืองอโยธยา เมื่อเขากวาดต้อนไป ทั้งพระประยูรญาติ เจ้าเหนือหัวคือ พระมหินทราธิราช ก็สิ้นพระชนม์ชีพที่เมืองอังวะ เราได้เป็นพิธีกรเผาพระศพท่าน แล้วก็เอาอัฐิ ไปฝังไว้ที่พระธาตุ เจ้าบุเรงนองจึงแต่งตั้งให้พระมหาธรรมราชา ซึ่งเดิมเป็นเพียงมหาอุปราชเท่านั้น ขึ้นครองราชแทน เจ้าหม่องกวาดต้อนเอาไป และเขาจัดเรา ไปอยู่ใกล้ชิดกับหน่อกษัตริย์ทั้งสามพระองค์ ที่ยังทรงเป็นทารก เขายกให้ดูแลรักษา เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วย และรับภาระทุกอย่าง ในสิ่งที่ท่านต้องการ เขาจึงได้แต่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็น (ขุนอนุรักษ์ ศักดิ์เสนา) มีหน้าที่ดูแลรักษาทุกๆ คนที่เป็นเชลย แล้วชาตินี้ ก็ต้องไปใช้กรรม นำเอาทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ตกค้างอยู่ในเมืองพะโค คือเมืองหงสาวดีมาให้หมด และเรื่องที่จะถูกจับกุมตัวในสมณะเพศที่ผ่านมา ก็เพราะเราเป็นตัวการวางแผน ให้เจ้าบุเรงนอง ผู้เป็นบิดา กับเจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) ทะเลาะกัน ถึงกับสั่งลูกน้องเข่นฆ่ากันตายเป็นใบไม้ร่วง นึกว่าเพื่อแก้ลำมัน จนถึงกับมันต้องเปลี่ยน แผ่นดินกัน เพราะเราวางแผนแท้ๆ แล้วกรรมนั้น ก็มาสนองให้เราต้องถูกจองจำ เพราะโทษทัณฑ์ ทางการเมืองในชาตินี้ เมื่อปี 2490 อย่างแสนสาหัส แทบจะเอาตัวไม่รอด แต่ถ้าทวยเทพเทวา ไม่มาเข้าฝัน ให้หันเข้าหาตัวแฝง เราก็คงแย่ แพ้เขาไปเลย หรืออาจจะถูกเก็บเงียบไปเลย ใครจะรู้

... ติดตามตอนต่อไป ...
... กลับไปยังหน้าแรก ...