คัดมาจากหนังสือ .. "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา" .. เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย (หน้า 7-12)

สัมผัสทางวิญญาณกับพระสุพรรณกัลยา

ในทันใดนั้นเอง สายตาทางจิตวิญญาณของเรา ก็มองเห็นหญิงสาวพราวเสน่ห์ ท่านหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ๆ ท่านยิ้มให้ ยิ้มแล้วยิ้มอีก แล้วเอ่ยปากว่า ท่านขาท่านชื่อโสรโย ที่เป็นพระสงฆ์ หลงมาจากเมืองสยามไทยใช่ไหม ถ้าใช่ท่านไม่ต้องร้อนใจ ฉันก็เป็นคนไทย เช่นเดียวกับท่าน ฉันจะหาทางช่วยท่านให้พ้นภัย เพราะท่านเคยอยู่กับฉันมาแต่ก่อน เราเคยมีบุญคุณต่อกันมานานแล้ว ท่านเคยช่วยเหลือ ดูแลฉันมาตลอด เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ในคณะเรา เราได้พึ่งพาอาศัยท่าน เวลาจะถูกเขารังแก ท่านต้องมาขัดขวางเอาไว้ ท่านหายไปไหนมา รีบมากับฉันเดี๋ยวนี้ ทันใดนั้นเอง ท่านก็นำพาข้าพเจ้าเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง ซึ่งมีสภาวะที่สูงขึ้นไปกว่า ละเอียดกว่า ซึ่งเป็นมิติสถานเก่า ที่ซึ่งพวกเราจำนวนมาก ถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นเชลย เมื่อสมัย กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งแรก แล้วสุภาพสตรีท่านนั้นก็บอกว่า ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา จำได้ไหม พวกเรามาด้วยกันจำนวนมาก ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย เพราะท่านเก่งมีฝีมือเป็นนายช่าง เก่งทางสร้างอาคารบ้านเรือน ให้พวกเราอยู่ ในจำนวนหมู่ของเชลย และสร้างวัดเวียงวังให้พม่าด้วย แล้วท่านก็ชี้มือให้เราดู แล้วว่าโน่นแน่ะคือหมู่บ้านที่ท่านสร้าง ก็มองเห็นหมู่บ้าน ที่มีกาแลไว้บนหน้าจั่ว เป็นทิวแถว ทรงไทย เรียงรายกันอยู่อย่างมีระเบียบ ท่านบอกว่า ยังมีอีกหลายที่ยังสร้างไม่เสร็จ โน้นน่ะวัดที่ท่านสร้างให้เขา ก็ยังไม่เสร็จอีก ท่านจึงต้องมาทำต่อในคราวนี้ เมื่อวานนี้ท่านหายไปไหน มีใครเขาบอกว่า ท่านกลับไปช่วยพระยาตาก กู้เมืองกรุงศรีอยุธยาใช่ไหม เมื่อกลับมาวันนี้ แต่งตัวเป็นนักบวชเสียแล้ว คงจะหาวิธีหนีเอาตัวรอดละซี หนีไปทำไม ไม่คิดถึงพวกฉันหรือ เราทุกข์ยาก พลัดพรากจากบ้านเมืองมาด้วยกัน ทุกข์ด้วยกัน สุขด้วยกัน มากินข้าวกันเถอะ หลังจากนั้น สุภาพสตรีท่านนั้น ก็จัดอาหารหวานคาว และท่านก็นั่งกินด้วย เราได้เห็นผู้คนที่รู้จักมักคุ้นกัน จำนวนมากเข้ามาหา มาถามข่าว และพูดจาล้อเลียน กระเซ้าเย้าหยอกกัน อย่างสนุกสนาน ดูแล้วแต่ละคน เขาแสดงความเคารพนับถือ ในท่านสุภาพสตรี คนที่นั่งกินข้าวอยู่กับเรามาก ท่านออกปากพูดว่า ฉันได้ส่งข่าว ไปทางเมืองสยามไทยแล้ว ให้เขามาช่วยท่าน แล้วอีกไม่นาน ท่านก็จะพ้นภัย ขณะนั้น ความรู้สึกตัวจากความหลับฝัน อันเป็นสมาธิน้อยๆ ที่เป็นตัวแฝงของเราก็ตื่นขึ้น รู้สึกตัว (ตื่นจากหลับฝัน) ฝันสนุกเสียด้วย เพราะเห็นคนสวยๆ มาปลอบใจ แล้วจะไม่ให้สุขได้อย่างไรว๊า แล้วก็ลุกขึ้นเดิน เดินจงกรม กลับไปมานานพอสมควร เพื่อยืดเส้นยืดสาย หายใจให้เต็มปอด แล้วก็ได้ยิน เสียงคนข้างนอกพูดกันว่า พระนายช่างองค์นี้ ท่านเข้านั่งทำสมาธิได้หลายวันแล้ว นั่งตัวตรงแข็งทื่ออยู่กับที่ ไม่ยอมลุก ไม่กิน ไม่ถ่าย นึกว่าแข็งตายไปแล้ว โอ้ยอย่างพึ่งตายเลย ขี้เกียจทำศพ และจะเกิดเรื่องยุ่งด้วย เพราะเป็นพระต่างชาติพลาดท่า รัฐบาลก็ยุ่งด้วยอีกดูๆ แล้วมิใช่คนที่จะตายแล้วสูญ เพราะเขามาเป็นนักวิชาการ เพราะท่านอภิธชะมหาอัตฐคุรุ ประมุขสงฆ์ของพม่า ก็นับถือเขาด้วย ไม่แน่จริง เขาคงไม่นิมนต์เข้ามาเมืองเรา จากนั้นเขาก็จัดหาอาหารมาให้ฉัน เราก็โบกมือปฏิเสธไม่รับไม่ฉัน จึงมานึกคิดหวนจิต กับไปในความฝันที่ผ่านมา เราไปเห็นสุภาพสตรีสาวสวยคนหนึ่ง ชื่อสุพรรณกัลยาที่บอกว่า เราเคยอยู่กับท่าน เราเคยช่วยท่าน เราเคยเป็นเชลย เราเคยเป็นนายช่าง สร้างบ้านให้เชลยอยู่ เราหายหน้าไปช่วยพระเจ้าตากกู้เมือง เมื่อวานนี้ และเราได้เห็น ได้คุยกับสุภาพสตรี ชื่อสุพรรณกัลยา แสดงความห่วงใยในเรามากๆ อยากทราบว่า สุภาพสตรีที่ชื่อสุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยาคือใครกันแน่ และท่านบอกว่า เราหายไปเมื่อวันวาน ไปช่วยงานพระยาตากกู้เมือง อะไรกันแน่ อีกเช่นกันอันกาลเวลาของโลกมนุษย์ ห่างกับโลกวิญญาณนั้น ถึงสองร้อยกับสองปี คือกรุงศรีแตก แตกครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2112 แล้วมาเสียอีก ครั้งหลังเมื่อ พ.ศ. 2310 อันกาลเวลามันห่างกันเหลือเกิน คือห่างกันเท่ากับ หนึ่งร้อยปีต่อหนึ่งวัน แต่กาลเวลาของโลกวิญญาณนั้น มันห่างกันแค่สองวันเท่านั้นเอง คือเมื่อวานนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราสนใจมาก อยากจะศึกษาทางโลกวิญญาณ ให้มันชัดเจนมากขึ้นไปอีก คือวันนั้นเอง เป็นคืนวันเพ็ญเดือน 12 ตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 วันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นวันลอยกระทงพอดี มีชาววัด ชาวบ้านละแวกนั้น เขามาจุดธูป จุดเทียนบูชาพระไว้ริมสระน้ำ ซึ่งไม่ห่างไกล จากที่เราอยู่ เรายึดเอาแสงสีของไฟ ที่ระยิบระยับกับผิวน้ำ ให้สะท้อนเข้ากับลูกแก้วอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา มาเป็นอารมณ์ของจิต ติดอยู่ให้เป็นเตโช และวาโยกสิญ เป็นเครื่องจูงจิต ให้ติดอยู่ในอารมณ์เดียว เหนี่ยวเอาเรื่องราวที่ผ่านมา เมื่อวันก่อนให้เกิดขึ้นในมโนทวาร ในกาลนั้นเอง ภาพลักษณ์ของพระนางสุพรรณกัลยา ก็มาปรากฏขึ้น ในมโนทวารอีกอย่างชัดเจน ท่านเป็นสุภาพสตรีที่เลอโฉม แต่งตัวด้วยชุดไหมสีทอง แพรวพราวด้วยอัญมณีที่ล้ำค่า แต่งตัวแบบสาวพม่าในยุคนั้น ใส่ผ้านุ่งสีทอง รัดเข็มขัด มีลูกปัดที่คอสองชั้น สวมเสื้อแขนยาวคอกว้างได้สัดส่วน ประทับยืน มือขวาค้ำสะเอว มือซ้ายหย่อนลง แล้วท่านกล่าวว่า พระคุณเจ้าจะพ้นภัยแล้ว แต่ท่านก็ต้องช่วยฉันเช่นกัน จะให้ท่านช่วยเรื่องอะไร เดี๋ยวจะบอกให้ เพราะฉันเองก็ถูกเขาเล่นงาน ถูกพันธนาการ ด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์ ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา เป็นธิดาคนโตของ พระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว เป็นชาวสยามไทย ได้ถูกกวาดต้อนมา เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก มาเป็นเชลย อยู่ที่เมืองหงสาวดีนี้ ดังที่ท่านทราบมาก่อนแล้ว ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย เขาเกณฑ์ท่านมาเป็นช่าง สร้างบ้านให้พวกเราอยู่กัน แต่ท่านเก่งทำอะไรเป็นทุกอย่าง ฉันไว้ใจท่าน เพราะท่านซื่อสัตย์ และกตัญญู ท่านช่วยดูแลฉันและน้องๆ ตลอดพวกพ้องที่เป็นเชลย ตลอดเวลา มาวันนี้ท่านแต่งตัวเป็นนักบวช คงจะมีมนต์ขลังดี ช่วยแก้ด้ายสายสิญจน์ ออกจากมือและขาให้ฉันด้วย หมอผีพม่ามันผูกเอาไว้ เพื่อกันฉันจะหนี ฉันจึงหนีไปไหนมาไหนไกลๆ ไม่ได้ มันจะเหนี่ยวกลับทันที ถ้าหนีได้ฉันจะไปกับท่าน แล้วข้าพเจ้าก็ดึงด้ายสายสิญจน์ ที่เขาทำด้วยแผ่นทองคำ ความยาวห้าคืบ กว้างหนึ่งนิ้ว ลงอักขระคาถา ขณะนี้ ข้าพเจ้ายังนำมาเก็บไว้ ออกจากแขนและขา ของท่านเจ้าหญิงด้วยการเสกคาถาดังๆ ว่า ตัสสะตัสสา คัจฉะคัจฉา อามุมหิโอกาเสติฏฐาหิ เป่าลงไปแรงๆ แล้วด้ายก็ขาดออก ปลิวหายไปเลยไม่มีอีกแล้ว เห็นท่านดีใจเอามากๆ สวมกอดข้าพเจ้าทันที (เรื่องนี้ถ้ามิใช่ฝัน หรือสัมผัสด้วยฝัน อาบัตคงกินตายแน่ๆ เพราะสาวสวยๆ อย่างนี้มากอด ใครเล่าจะทำใจได้ เพราะเราก็ยังมีกิเลสหนาอยู่นี่ แต่มันก็เป็นความฝันเท่านั้น จะเอาจริงเอาจังอะไรกับความฝันเล่า) อันชีวิตทุกชีวิต ก็คือความฝันเช่นกัน และจะเอาอะไรแน่นอนกับชีวิตเล่า ตายไปแล้ว ก็ตกอยู่ในภาวะแห่งความว่างเปล่าทั้งนั้น เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว แก้ผ้ามาตอนเกิด เมื่อวันตายก็ต้องกลับสภาพเดิม ชีวิตหนอชีวิตคิดดูเถิด ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผี จะประสพพบโชคและโศกโศกี ตามวิถีของบุญกรรมที่ทำมา จงอย่าครวญโอดโทษใครในยามทุกข์ จงปลุกปลอบดวงใจให้แก่กล้า มิใช่พรหมินทร์อินทร์เซียน เขียนให้มา เรานี้นากระทำไว้ในตนเอง

เรื่องพระนางสุพรรณกัลยา เทพธิดาที่มองเห็นทางฝันนั้น ท่านบอกว่า ท่านขาท่านเก่งมาก ที่ท่านช่วยแก้เครื่องผูกมัดออกให้ฉัน ฉันจะได้เป็นอิสระเสียที ฉันจะไปอยู่กับท่านตลอดไป ท่านต้องการอะไรบอกฉัน เมื่อท่านจะไปไหนมาไหน หรือทำอะไรบอกฉันด้วย ฉันจะช่วยแบ่งเบา เท่าที่ความสามารถของฉันจะทำได้ และท่านก็จะพ้นภัยภายในเร็วๆ นี้ พอรู้สึกตัวขึ้นมาจากการหลับฝัน ความทรงจำที่ติดอยู่กับมโนทวาร ก็ยังกัองกังวาลอยู่ที่หูทั้งสองข้าง ของข้าพเจ้าว่า สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา อยู่ไม่ลืมเลือน แม้จะลืมตา หลับตา เดินไป เดินมา ทางตาก็เห็นรูป หูก็ได้ยินเสียงตลอดเวลา เลยเกิดความสุข เอิบอิ่มเบิกบาน ยิ้มแย้มร่าเริงอยู่คนเดียว ข้าวไม่กินน้ำไม่ดื่ม เป็นเวลา 10 คืน 10 วัน ก็ไม่รู้สึกหิว ไม่รู้สึกเพลีย เพราะอิ่มใจ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพราะมันเกิดความสุขทางใจเอามากๆ จึงนึกถึงพระคาถา ของท่านอาภัชชราพราหมณ์ว่า ปีติภักสา ภะวิสสามิ เทวานัง อะภัสสรายะถะ คาถานี้เสกน้ำกินบ่อย จะเป็นอาหารทิพย์ ไม่ได้กินก็ไม่หิว อยู่ได้หลายๆ วันแล จำไว้เนอ จึงออกปากพูดเองว่า สุขอะไรอย่างนี้ สุขหนอ สุขหนอ แต่ที่เราสังเกตดูผู้คน คนภายนอกตลอดทั้งเจ้าหน้าที่ ที่ควบคุมดูแลเราอยู่ เขาพูดกันว่า เราเร่งความเพียรทางจิตมากเกินไปเลยเสียสติ คงจะเป็นโรคจิตวิปลาสไปแล้ว ขืนปล่อยไว้นานก็บ้าแน่ๆ บ้าจริงๆ อย่าเข้าไปใกล้มันนะมันจะทำร้ายเอา เพราะเขาเห็นเรานั่งยิ้ม นอนยิ้มอยู่คนเดียว แล้วก็พูดพึมพำว่าสุขหนอๆ (อย่างนี้ก็บ้าละซี) พอถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน เดือนเดียวกัน พวกเจ้าหน้าที่ ที่ควบคุมดูแลข้าพเจ้าอยู่ มาตะโกนดังๆ บอกว่าท่านไม่ต้องบ้าหรอก เลิกบ้าเสียที ท่านพ้นโทษ พ้นข้อกล่าวหาทุกอย่างแล้ว ผู้ใหญ่ทางเมืองสยามไทย คือท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ร้องขอให้นายกอุนุ ปลดปล่อยท่านแล้ว ท่านจะไปไหนก็ไป ท่านเป็นอิสระแก่ตัวทุกอย่างแล้ว เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเข้าก็ยิ้ม ยิ้มแล้วยิ้มอีก ยิ้มไม่เลิก ยิ้มเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งหาว่าบ้าหนักเข้าไปอีก ถึงอย่างไรก็ดี อันภาพที่เห็นในทางจิตวิญญาณ มันบันดาลให้เกิดความสุขทางใจ อิ่มใจมากๆ จึง ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ใครๆ เขาจะหาว่าบ้าก็เอา (อันความยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจ ร่าเริงเบิกบาน ไม่มีทุกข์ เป็นยารักษาโรคขนานเอก) จำไว้เน้อ

เมื่อมาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่าน อ่านแล้วคงจะนึกว่าเรื่องนี้ มันเป็น unbelievable นี่หว่า แต่ข้าพเจ้า ก็เชื่อของข้าพเจ้าอย่างเต็มร้อย หรือท่านจะคิดว่ามันเป็น nearly Impossible แต่ข้าพเจ้าก็เห็นว่า มันเป็นไปได้และมันก็เป็นไปแล้ว เพราะข้าพเจ้าค้นคว้า และเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพียงเพื่อเสนอแนวคิดในแง่มุมต่างๆ ที่ได้สัมผัสมาด้วยตนเอง ทั้งด้านนามธรรม และด้านรูปธรรม มิใช่จะกะเกณฑ์ให้ท่านเชื่อหรอก ขอบอกว่าอันคนที่เชื่ออะไรง่ายๆ และปฏิเสธอะไรง่ายๆ โดยไม่ดูเหตุผล (คือคนโง่) เพราะสิ่งเร้นลับซับซ้อนต่างๆ ที่มีอยู่ใต้หล้าฟ้ากว้างในโลกนี้ ซึ่งมนุษย์ยังค้นไม่พบ ยังมีมากเหลือที่จะพรรณนา สิ่งนั้นคือเรื่องจิตวิญญาณ

อันเรื่องราวของพระสุพรรณกัลยา ที่ท่านบอกว่า ท่านเป็นพระธิดาองค์ใหญ่ ในพระมหาธรรมราชานั้น เป็นใครกันแน่ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ข้าพเจ้าเองไม่ได้เอาใจใส่ ไม่ได้สนใจ ในเรื่องเกี่ยวกับเจ้าๆ จักรๆ วงศ์ๆ อะไรทั้งนั้น เพราะเหตุว่าข้าพเจ้ามี config ติดอยู่ในใจมาแต่กำเนิด คือไม่ชอบเจ้า เพราะสถานที่ข้าพเจ้าอยู่ไม่ว่าที่ใด จะไม่ไกลจากหมู่บ้านของพวกคณะลิเก อันคนจำพวกนั้นมันจะซ้อม มันจะแสดง มันจะสอนกันแต่เรื่องเจ้า จักรๆ วงศ์ๆ ทุกวี่ทุกวันเป็นประจำ หนวกหูจะตาย เลยเกิดโรคความเกลียด ความชังในระบบเจ้า ของพวกลิเกขึ้นมา เมื่อพวกมันเลิกเล่น เลิกแสดง มันก็มานั่งกินข้าว กับหัวปลาทูกรอบๆ กับหมาอีก นี่แหละหนาโลกแห่งมายา โลกแห่งการสมมุติ แต่มนุษย์ก็ยังมายึดติดกับมัน อนิจจังอนิจจาน่าทุเรศแท้ๆ แต่เรื่องของพระนางสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมาตลอดนี้ ท่านเป็นเจ้าประเภทไหน ทำไมจึงเป็นภาพที่ติดตา ตรึงใจ ในห้วงแห่งความรู้สึกนึกคิด ของเราตลอดเวลา ก็เพราะท่านได้นำพา ให้เราได้เข้าถึง ได้รับรู้เรื่องโลกวิญญาณ โลกลี้ลับ ในคราวที่ชีวิตตกอับคับขัน จะหันหน้าไปพึ่งใครๆ มนุษย์หน้าไหนไม่ได้อีกแล้ว ขณะที่จิตของเราผ่องแผ้ว เข้าสู่ภวังค์ได้หยั่งรู้ หยั่งเห็นท่านเป็นอุปทายรูป อันเลอโฉมของท่าน และท่านก็นำพาเข้าสู่มิติเก่าๆ ที่เป็นอดีตกาล ซึ่งผ่านมาแล้ว แม้จะนานแสนนาน ก็ได้รับรู้เหตุการณ์ต่างๆ ดังได้กล่าวต่อไป อันมิติสภาวะที่ท่านอยู่ที่ลี้ลับแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาวะที่โปร่งใส ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีแสงจันทร์ แต่มันสว่าง เนื้อตัวก็เบา เคลื่อนย้ายไปมาไม่ต้องก้าวขา ก็ไปถึงทันใจ นึกอยากได้อะไร สิ่งนั้นก็มาถึง อันสถานบ้านเรือนที่เราดู เราเห็นด้วยตา ว่ามีสภาพชำรุดทรุดโทรมนั้น กลับเห็นเป็นของยังใหม่เช่นเดิม แล้วท่านนำพากลับเข้าไป ดูภาวะการณ์ที่ท่านและเรา ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยนั้น ก็เห็นว่า เราเป็นผู้ชายมีอายุกลางคนแล้ว และมีร่างกายแข็งแรง เป็นผู้ใหญ่อายุมากกว่าท่าน และยังได้ช่วยเหลือ ท่านทุกอย่างที่ท่านขอร้อง แม้แต่พระอนุชาของท่าน คือท่านองค์ดำ และองค์ขาว ก็เห็นท่านเป็นเด็ก จนโตเป็นหนุ่มแน่น และเห็นท่านทั้งสามองค์ อยู่ กิน นอน ด้วยกันตลอดเวลา และพระอนุชาทั้งสอง ท่านก็ใฝ่ใจในการศึกษาศิลปศาสตร์ทุกสาขา และท่านก็เมตตาต่อเราเอามากๆ และบางครั้งเรายังรับทำงานแทนท่าน อันเป็นงานที่ท่านไม่ถนัด เพราะพวกที่ตกเป็นเชลยนั้น คนทุกชั้นก็คือเชลยหมด จึงหมดภาวะแห่งความเป็นนาย เป็นบ่าวกันแล้ว แต่เราเก่งทางสร้างบ้าน สร้างเรือน เราจึงได้ชื่อว่า ขุนอนุรักษ์ ศักดิ์เสนา อันนี้เป็นการสัมผัส ด้วยจิตใจอีกมิติหนึ่ง มิตินี้เป็นมิติที่ละเอียดมาก ที่เรียกว่าตัวแฝงตัวพลังนั่นเอง ยากที่จะอยู่ได้นาน เพราะภาวะการของจิต มันจะถอยออกมา อยู่สู่มิติทางสัมผัสด้วยใจอีกต่อไป จากนั้นท่านก็เล่าให้ฟังว่า พวกเราถูกกวาดต้อน มาเป็นเชลย จนฉันโตเป็นสาว ดังที่ท่านเห็นอยู่นี้ อายุราวๆ เบญจเพศ ไอ้เจ้าบุเรงนอง มันก็ปองรัก จะหักด้ามพร้าด้วยเข่า เอาฉันทำเมีย มันทำระร่ำ ระเหรี่ยในทางมายา แต่พระอนุชาของฉันทั้งสองไม่ยินยอม และตัวท่านเองก็ไม่ยอมด้วย ดังนั้นจึงพร้อมกันออกอุบายว่า ขอให้ฉันได้รับอนุญาต จากท่านผู้บังเกิดเกล้า คือบิดามารดาเสียก่อน เพราะประเพณีของไทย ถ้าผู้ใดแต่งงานก่อนได้รับอนุญาต จะอายุสั้น เจ้าบุเรงนองมันตาฝาด ด้วยอำนาจกิเลสตัณหา จึงจัดแจงโยธาไพร่พล พร้อมด้วยตัวเขา และน้องชายทั้งสองของฉัน และตัวท่านเองก็ได้กลับไปด้วย แต่การไปของท่าน เขาให้ไปถึงแค่เขตแดน แล้วเขาสั่งให้สร้างบ้านเรือน อยู่ตรงเมืองมะริด และเจ้าบุเรงนองก็เกรงใจท่านมาก เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เขานับถือ เรียกว่ามือชั้นครู มีบางคนคงสงสัยว่า ฉันเองจะต้องไปทำไม เพราะปกติข้าศึก จะไม่จับเอาผู้หญิงที่ไม่พ้นนิติภาวะ ไปเป็นเชลย จึงขอตอบว่า เหตุที่ฉันจะต้องไปเพราะ น้องของฉันทั้งสองพระองค์ เขาติดพันฉันมาก ฉันเป็นทั้งพี่จริง และพี่เลี้ยง ฉันเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เยาว์วัย ในคราวที่เราร่อนเร่มา อย่างเมื่อยล้า น้องคนเล็กไม่ยอมเดิน ฉันต้องอุ้มกระเตงคนเล็ก ไว้ที่เอวข้างขวา จูงคนโตด้วยมือซ้าย ตอนข้ามน้ำ ท่านยังเห็นว่าขำแท้ๆ ท่านจึงทำจำแลง แกะสลักรูปของฉันอุ้มน้อง เพื่อล้อเลียนไว้ดูเล่น ขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ เอาไว้ไปดูเล่นเป็นขวัญตา และของที่เราเคารพบูชา ที่ท่านเอาเก็บไว้ ก่อนออกเดินทางกลับ คือ พระนารายณ์ และพระแม่อุมา ที่พวกเราสักการะบูชา ก็ให้ท่านเอากลับไปด้วย และของเหล่านั้น ข้าพเจ้าก็นำเอากลับมาเก็บรักษาไว้ เท่าทุกวันนี้ นี่แหละคือสักขีพยาน ในด้านรูปธรรมที่พอยืนยันได้ ....

... ติดตามตอนต่อไป ...
... กลับไปยังหน้าแรก ...