คัดมาจากหนังสือ .. "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา" .. เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย (หน้า 163-165)

บทสรุปที่มีหนังสือค้านเนื้อหาที่กล่าวมาแล้ว

ในระยะไม่นานมานี้ ผู้เขียนไปต่างประเทศ ได้พบได้อ่านหนังสือ เล่มหนึ่ง ซึ่งเขียนขึ้น ด้วยพระสงฆ์ไทย ในอเมริกา มีนักสอน ศาสนาชาวคริสต์ เขานำมาให้ และเขารู้สึกภูมิใจ ที่เรื่องในเนื้อหา ของหนังสือเล่มนั้น ได้สรรเสริญ เยินยอ พระเป็นเจ้าของเขาไว้หลายแห่ง ส่วนพระพุทธเจ้า ผู้เป็นจอมศาสดา ของชาวพุทธนั้น ท่านได้เป็นแค่ Son คือ เป็นบุตร และเป็นเพียงโฆษก ของพระเป็นเจ้า คือ God ของเขาอีก มิใช่ว่าพระพุทธเจ้า จอมศาสดาของเรา จะเป็นผู้ประเสริฐ เลอเลิศอะไรทั้งนั้น และยังมีอีกหลายเรื่อง และหลายแห่งที่กล่าวไว้ โดยปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิด ปฏิเสธ แม้กระทั่ง เรื่องผลบุญ ผลบาป กรรมเวรว่าไม่มี ใครจะร้ายจะดี ก็อยู่ที่พระผู้เป็นเจ้า คือพระเจ้าเท่านั้น ที่จะดลบันดาลให้

หนังสือเล่มนั้นชื่อ SUFFERING AND NO SUFFERING เขียนขึ้นด้วยพระสงฆ์ไทย เล่มใหญ่ ถึงห้าร้อยกว่าหน้า ดังจะได้นำข้อปลีกย่อย มากล่าวในที่นี้ในหน้า 305 เขาเขียนว่า

God Can Be Compared With Dhamma. The Buddha With the Wise of Noble Teachers, or The Son of God
พระผู้เป็นเจ้า เปรียบเสมือนธรรม พระพุทธเจ้า ดุจดังผู้ทรงปรีชาญาณ หรือ พระบรมครู หรือ บุตรของพระเจ้า

Inaddition, The Buddha can be compared with the Wise or Noble Teachers, or The Son of God.
นอกจากนั้น พระพุทธเจ้ายังเปรียบได้ดัง ผู้ทรงปรีชาญาณ หรือพระบรมครู หรือบุตรของพระเจ้า

อันคำแปลที่เป็นภาษาไทยนั้น ผู้เขียนแปลเอง จึงได้ความว่า พระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ของชาวพุทธ มิใช่เป็นผู้ประเสริฐที่สุด เลอเลิศอะไร ที่แท้จริงก็เป็นเพียง ลูกชายของพระเป็นเจ้าของเขา และเป็นแค่โฆษก ของพระเป็นเจ้าของเขาเท่านั้นเอง นี้ชาวพุทธเราอายเขาไหม ที่พระสงฆ์ไทย ในต่างแดนเขียนอย่างนี้ เท่ากับย่ำยีให้ ศักดิ์ศรี ของพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เหลวแหลก ป่นปี้ไปเท่านั้นเอง และหน้าที่ 81ที่เขาเขียนว่า

It is important to understand the following points regarding rebirth. First, Rebirth cannot be proven her and now. Second, Rebirth is contingent upon the beliefs of the people. Third, Rebirth is not concerned with Buddhism, which teacher "Anatta".

(แล้วข้าพเจ้าได้นำมาแปล เป็นภาษาไทยได้ความว่า)
มันสำคัญมาก ที่จะต้องทำความเข้าใจ กับประเด็นของการเวียนเกิด ประการแรก การเวียนเกิด ไม่สามารถจะพิสูจน์ ให้เห็นได้ ประการที่สอง การเวียนเกิด อาจมาจากความเชื่อของมนุษย์ ประการที่สาม การเวียนเกิด ไม่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ซึ่งสอนเรื่องอนัตตา

ผู้เขียนขอค้านว่า อันบุคคลที่ไม่เชื่อ เรื่องเวียนว่ายตายเกิด และบาปบุญคุณโทษนั้น เป็นคนประเภท มุขโขโลกะนะ เป็นบุคคล ที่มีความมืดบอดทางปัญญา ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็จงได้ช่วยกันโยน พระสูตรตันตปิฏก ทั้งสองหมื่นหนึ่งพันพระธรรมขันธ์ ลงน้ำ หรือเผาไฟทิ้งไปเลย ไม่ต้องเชื่อถือกัน แล้วเรื่องพระไตรปิฎก ยกทิ้งไปเลย อันคำตรัสอุทาน ของพระบรมศาสดาจารย์ ที่พระองค์ตรัสว่า อัคโคหะมัสสิง โลกัสสะ เชตโกหะมัสสมิงโลกัสสะ เสฏโฐหะมัสสมิงโลกัสสะ อายะมันติมาชาติ นัตถิชาติปุนันภะโว และคำว่า อะเนกะชาติสังสารัง สันทาภิสัง อนิพพิชัง ฯลฯ ทั้งพระสูตรก็โยนทิ้งไปเลย ที่ผู้อ่านได้อ่านแล้วพิเคราะห์ดู ในเนื้อหาของหนังสือนั้นแล้ว ก็เห็นว่า ผู้เขียนได้ประยุกต์เอง เอาคำสอนของพระพุทธเจ้าเรา เข้าไปอยู่ในความรู้ ความเห็นของตัวเองทั้งหมด แล้วยังกดดันความยิ่งใหญ่ ของพระบรมจอมไตร ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ของชาวพุทธ ให้อยู่ในระดับ บุตรชายของพระเป็นเจ้าของเขา และเป็นเพียงโฆษก ของพระเป็นเจ้าเท่านั้น แม้แต่เรื่องจิตวิญญาณ โลกนี้โลกหน้า ตลอดการเวียนว่ายตายเกิด ก็ปฏิเสธหมด เป็นเรื่องของบุคคลเชื่อกันเอง ด้วยความโง่เขลา ทุกอย่างพระเป็นเจ้า ผู้สูงส่งจะประธานให้เอง และกล่าวถึงเรื่องจิตวิญญาณ ในหน้าที่ 25 หน้า 27 และหน้า 30 ก็เช่นกัน ที่เขาเขียนว่า

P.25 The Original Mind is ‘free’ ‘void’ ‘luminous’, and ‘nonsuffering’

วิญญาณเดิมนั้น เป็นอิสระ ว่างเปล่า สว่าง และไม่ทุกข์

"the original Mind is luminous; it is tarnished due to the presence of visiting
defilement. The Original Mind is luminous; it is untarnished due to the absence of visiting
defilement".

วิญญาณเดิมสว่าง มันถูกทำให้มัวหมอง เพราะต้องมลทิน และจะไม่มัวหมอง หากไม่ต้องมลทิน

P.27 Nature of the Original Mind is Luminous,...

วิญญาณเดิม สว่างโดยธรรมชาติ

P.30 ...the Original Mind has no-suffering, for it is luminous.

วิญญาณเดิม ไม่ทุกข์ เพราะมีความสว่าง

ข้าพเจ้าขอค้านว่า ในหลัก อิทัปปัจจะยะตา ว่า อวิชา ปัจจะยาสังขารา สังขารา ปัจจะยา วิญญาณนัง ฯลฯ ทุกขะโทมะนัสสะ รวมความในพระอภิธรรมข้อนี้ว่า อวิชาความโง่ ความมืดบอด เป็นเหตุให้เกิดสังขาร คือความคิด ความปรุงแต่ง สังขารเป็นเหตุให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นเหตุให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นเหตุให้เกิดผัสสะ ผัสสะ เป็นเหตุให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นเหตุให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน คือความไปยึดมั่น ถือมั่น อุปาทาน เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ และตัวทุกข์นี้เองให้เกิด อวิชา ตัณหาอุปาทานอีกไม่รู้จบเป็นวัฏฏะ คือวนไปเวียนมา เวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น แต่ถ้าวิญญาณเดิมแท้นั้น มันเป็นอิสสระ ว่างเปล่า ประภัสสะ ไม่มีทุกข์ไม่มัวหมอง แล้วก็เท่ากับค้านว่า พระอภิธรรมบทนี้ทั้งหมด และเมื่อปฏิเสธเสียทั้งหมด อันตำรับตำรา ที่นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา รจนาขึ้นทั้งหมด หรือแม้แต่หนังสือ ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ก็ใช้ไม่ได้เลย ในเนื้อหาของหนังสือนี้ หน้า 18 บรรทัดที่ 17 เนื้อความว่า ชีวิตที่ถูกความโง่เขลา และกิเลสตัณหาสร้างขึ้นมา เป็นตัวตนนี้ฯ และทำให้ต้องเป็นทุกข์ (ถ้าจิตมันไม่มีกิเลส ตัณหา มันจะเกิดมาทำไม) ดังนั้น จึงขอสรุปว่า ผู้เขียนไม่มีความเข้าใจพอ ในเรื่องจิต

... ติดตามตอนต่อไป ...
... กลับไปยังหน้าแรก ...