คัดมาจากหนังสือ .. "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา" .. เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย (หน้า 79-88)

ย้อนรอยอดีตต้นตระกูล ของ พระสุพรรณกัลยา

ข้าพเจ้าผู้เขียน ได้บันทึกเอาไว้ เมื่อค่อนคืนของวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2491 ซึ่งเป็นวันเพ็ญ เดือนยี่ ในขณะที่นั่งฝันถึงเรื่องเก่าๆ ของพระพี่นางสุพรรณกัลยา ที่ท่านเล่าให้ฟัง ถึงเรื่องราวที่ท่านทำ และท่านได้บันทึก (ลิขิตเอาไว้) เพื่อให้คนรุ่นหลัง ได้ทราบถึงความเป็นมาของท่าน และต้นตระกูลของท่าน ที่พระราชบิดา คือ พระมหาธรรมราชา ตลอดทั้งพระประยูรญาติ ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า เชื้อสายต้นตระกูลของพระนาง ท่านนั้นมีกำเนิด มาจากบรรพบุรุษผู้สูงศักดิ์ ถึงสองตระกูล สายพระราชบิดา มาจากวงศ์พระร่วง (วงศ์สุโขทัยสายเหนือ) ส่วนสาย พระราชมารดานั้น มาจากสายวงศ์สุพรรณภูมิ สายภาคกลาง เท่าที่จำได้ และได้บันทึกไว้มีดังนี้

เริ่มต้นก็มีสมเด็จพระนครอินทราธิราช เจ้าต้นตระกูลองค์นี้ ครองราชเมื่อ พ.ศ.1952 ถึง พ.ศ.1967 สมเด็จพระนครอินทราธิราช หรือเจ้านครอินทร์ เป็นโอรสของเจ้าเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นอนุชา ซึ่งเป็นน้องชาย ของพระบรมราชาธิราชที่ 1 ได้รับคำทูลเชิญ (เชื้อเชิญ) ให้เข้ามาครองราชสมบัติ โดยการยินยอมจาก พระรามราชาธิราช พระราชโอรสของพระราเมศวร แต่โดยดี เมื่อปี พ.ศ. 1952 เจ้านครอินทร์ มีพระราชโอรสสามพระองค์คือ 1 เจ้าอ้าย ได้ครองเมืองสุพรรณบุรี องค์ที่ 2 พระเจ้ายี่ ได้ครองเมืองสวรรค์ (หรืออาจจะเป็นเมืองสรรคบุรี) หรือเมืองแพรก (บ้านแพรกในปัจจุบัน) พระราชโอรสองค์ที่สามชื่อ เจ้าสามพระยา ได้ครองเมืองชัยนาท ซึ่งต่อมา ได้สืบราชสมบัติจาก พระราชชนก อันพระอินทราธิราช ผู้เป็นพระบิดานั้น ได้ครองราช เมื่อพระชนมายุได้ 50 พรรษาแล้ว ครองราชอยู่ได้ 16 ปี อายุก็ 66 ปี ก็สวรรคต เมื่อปี 1967 และเรื่องเจ้าอ้ายผู้พี่ชาย กับเจ้ายี่ผู้น้องชายคนที่สอง ต่างก็ปองรัก ราชสมบัติของพ่อ ต่างก็ยกกองทัพเข้ามา จะตีกรุงศรีอยุธยา โดยจุดมุ่งหมายในราชสมบัติ และอำนาจวาสนาอย่างเดียว กัน จึงได้เกิดปะทะชนช้างกันขึ้น ที่บ้านป่าถ่าน ต่างองค์ต่างก็ฟันกัน ด้วยพระของ้าวพร้อมกัน ขาดตายไปพร้อมกัน (นั้นแหละกิเลสของมนุษย์ พวกบ้าสมบัติ) ตายได้ก็ดีแล้ว ก็เหลือแต่ เจ้าสามพระยา องค์ที่สาม ไม่ได้แย่งสมบัติกับใคร บุญหล่นทับ ได้รับราชสมบัติ ครองกรุงศรีอยุธยาต่อมา เมื่อเจ้าสามพระยา ได้ครองราชแล้ว 7 ปี คือเมื่อ พ.ศ. 1974 พระเจ้าธรรมโศก เจ้ากรุงกัมพูชา ยกกองทัพมากวาดต้อน เอาผู้คนเป็นจำนวนมาก จากอยุธยาไปเป็นการใหญ่ เพื่อเป็น ไพร่พล ของอ้ายขะแม (เขมร) สมเด็จเจ้าสามพระยา ก็ยกทัพไปตีกรุงกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 1975 ตั้งค่ายล้อมนครธม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของกัมพูชา ในสมัยนั้น ตั้งมั่นต่อสู้อยู่ถึง 7 เดือน ในระยะที่เจ้าสามพระยา ตั้งพลับพลาต่อสู้กับเขมร อยู่นี่เอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็ทรงประสูติ ที่พลับพลานั้นเอง เมื่อตีเมืองเขมรแตกแล้ว ก็กวาดต้อนเอาไพร่พล และสิ่งของที่มีค่า กลับมากรุงศรีอยุธยา แล้วทรงตั้งให้พระอินทราชา ครองเมืองกัมพูชาแทน พวกขอมในระยะนั้น เป็นเมืองขึ้น คือประเทศราชของไทย จึงย้ายเมืองหลวง จากนครธม ไปตั้งอยู่พนมเปญ ตลอดทุกวันนี้ ส่วน พระอินทราธิราช ก็อยู่ครองเขมรไม่นานนัก ก็ทรงพระประชวร สิ้นพระชนม์

ส่วนพระบรมไตรโลกนาถ ได้ครองราชอยู่ยืนยาวที่สุดถึง 40 ปี ระยะแรกก็ไม่มีทุกข์ภัย ไพร่ฟ้าหน้าใส สุขกายสุขใจกันทั่วหน้า พระองค์จึงเห็นว่า เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองสงบ และอยู่ในสายเดียวกับสุโขทัยสมัยก่อน พระองค์จึงเสด็จไปประทับ อยู่เมืองพิษณุโลกแล้ว ก็ได้รับการต้อนรับจาก อาณาประชาราษฎร์ อย่างสมพระเกียรติ และได้ทรงศึกษารอบรู้ ในด้านอักษรศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และศาสนา ตลอดด้านยุทธศาสตร์เป็นอย่างดี และ เป็นเจ้านายพระองค์แรก ที่ขึ้นไปปกครองราชอาณาเขต ทางภาคเหนือ และเมื่อได้ไปประทับ อยู่เมืองพิษณุโลกแล้ว พระองค์ทรงขวนขวายศึกษา พระประวัติ และพระราชประเพณีของวีรบุรุษ แบบกรุงสุโขทัยในอดีต และในเวลานั้น ก็ยังมีเจ้านายเชื้อพระวงศ์ และข้าราชการเก่าๆ ในเมืองเหนืออยู่มาก ได้ถวายคำแนะนำ ให้ความรู้เพิ่มเติมอีก และได้ทรง เลือกประเพณีเก่าๆ และใหม่ๆ มาปรับปรุงบ้านเมือง ใช้การปกครอง แบบพ่อปกครองลูก อย่างพ่อขุนรามกำแหงมหาราช และทรงเลือกปฏิบัติ ตามเยี่ยงอย่างบรรพบุรุษ หลายประการ เช่น สร้างวัดในวังแบบสุโขทัย ไว้บรรจุพระอัฐิธาตุ ของบรรพบุรุษ และเจ้านายผู้สูงศักดิ์ ตลอดวีรชนผู้ถวายชีวิต เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน

อันพระราชกรณียกิจของพระองค์ ที่สำคัญคือ ได้ปรับปรุงแก้ไขการปกครอง ให้มีกฎมณเฑียรบาล ระบบศักดินา ปรับปรุงการศึกษา ทางด้านอักษรศาสตร์ และวรรณคดีต่างๆ เช่น มหาชาติคำหลวง และลิลิตพระลอ ก็เกิดขึ้นในสมัยของพระองค์ท่าน และในสมัยของพระองค์ท่าน ก็ได้เกิดศึกขึ้นทางตอนใต้ ทางมะละกา แหลมมลายู ซึ่งเป็นเมืองขึ้น (เป็นประเทศราช ของสยามไทย) พระองค์ต้องตัดสินพระทัย ยกเมืองให้เขาไป ดีกว่าจะเสียเลือดเนื้อ และไพรพลเมื่อปี พ.ศ. 1999 เมื่อปีนั้นเอง พระองค์ก็ทรงเสด็จกลับ เพื่อรับเป็นรัชทายาท ไปครองกรุงศรีอยุธยา ตอนนี้เอง ก็เกิดยุ่งกันขึ้น ทางเหนืออีก เพราะพระองค์ทรงปกครอง แบบพ่อปกครองลูก มิได้ทรงแต่งตั้งให้ใครๆ เป็นใหญ่ที่สูงสุดไว้แทน จึงปล่อยให้หัวเมืองต่างๆ มีเจ้าเมืองปกครองกันเอง แบบเจ้าเมือง เจ้าพระยาเท่านั้น คือ เมืองพิษณุโลก สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ ต่างก็มีอำนาจเสมอกัน จึงต่างคนต่างก็อยากเป็นใหญ่ แย่งไพร่พล แย่งอำนาจกันขึ้น ถึงกับรบราฆ่าฟันกัน เพื่อสนองความอยาก อันเป็นกิเลสของมนุษย์ ส่วนพระยายุธิษฐิระ เจ้าครองเมืองสวรรคโลก ก็เสือกกระโหลกไปทำไมตรี สวามิภักดิ์กับพระเจ้าติโลกราช ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ เพราะเวลานั้น เมืองเชียงใหม่ มิได้ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา เพราะถือตัวว่า เป็นเจ้าใหญ่ทางเมืองเหนือ พระยายุธิษฐิระเป็นไส้ศึก นำพลจากเชียงใหม่ พร้อมด้วยพระเจ้าติโลกราช ยาตราทัพลงมาตี ได้เมืองตาก เมืองกำแพงเพชร แล้วลงไป กวาดต้อนเอาไพร่พล ถึงเมืองชัยนาท พระบรมไตรโลกนาถจึงยกทัพ ขึ้นไปป้องกันปราบปราม และเป็นจังหวะที่พระเจ้าติโลกราช จะยกทัพไปตีเมืองสุโขทัย แต่ยังไม่ได้ทันตี พอรู้ข่าวว่าทัพหลวงอันมหึมา ของกรุงศรีอยุธยายกขึ้นมา ก็ล่าถอยกลับไป สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็ขับไล่ไปถึงเมืองเถิน ก็หยุดกันแค่นั้น สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็เห็นว่าหัวเมืองทางภาคเหนือ มันยุ่งกันนัก จึงทรงเปลี่ยนพระราชโชบาย ย้ายพระองค์เอง ขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก เสียเอง จึงทำให้เมืองพิษณุโลกเป็นราชธานี เมืองหลวงของไทย อยู่ถึง 25 ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ. 2006 ถึง 2031 ส่วน กรุงศรีอยุธยา ก็มอบให้พระราชโอรสองค์ใหญ่ คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 หรือพระบรมราชา ปกครองแทน

ในระหว่างบ้านเมืองสงบนี้เอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงทะนุบำรุง พระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ คือทรงสร้างพระศรีรัตนมหาธาตุ คือพระปรางค์ที่สวยงาม ไว้ที่วัดไทร คือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วัด พระพุทธชินราช ที่เมืองพิษณุโลก สร้างวัดทอง วัดราชคฤห์ บูรณะวัดคูหาสวรรค์ วัดอรัญญิก ทางทิศตะวันออก และ วัดอื่นๆ อีกสิบเก้าวัดในเมือง บริเวณเมืองพิษณุโลก และได้ส่งทูต ไปอาราธนานิมนต์ พระผู้ทรงแตกฉาน ในพระไตรปิฏก จากทวีปลังกา มาช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนา ส่วนพระองค์เอง ก็ทรงอุปสมบท ประจำอยู่ที่วัดจุฬามณี เช่นเดียวกับพระมหาธรรมราชาที่ 1 ของกรุงสุโขทัย เมื่อลาผนวชแล้ว ก็ได้ช้างเผือกเชือกหนึ่ง เป็นการเสริมพระบารมี เมื่อตอนปี 2016 พระเจ้าติโลกราช คู่อาฆาตของพระองค์ท่าน ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ ที่พระยายุธิษฐิระ แตกวงไปสวามิภักดิ์ ได้เกิดสติฟั่นเฟือน ถึงกับฆ่าใครต่อใคร ในที่สุด ก็ฆ่าลูกชายของตนเอง สมเด็จพระบรมไตรโลนาถ เห็นเป็นโอกาสดี จึงยกทัพขึ้นไปตี เอาเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าติโลกราชไม่มีทางสู้ ยอมแพ้ขอหย่าศึก แล้วจึงขอทำสัญญา เป็นไมตรีขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ซึ่งเป็นพระราชโอรส ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งประสูติจากพระมเหสี เชื้อสายของวงศ์พระร่วง มีพระนามว่า พระนางศรีสุดารัตน์ (ชื่อนี้ได้มาจากพม่า ส่วนในพงศาวดารไม่มีเลย) พระนางได้พระราชโอรส 3 พระองค์ คือ 1 พระอินทราชา พระองค์นี้ได้สิ้นพระชนม์ ในการรบ ที่เมืองเขลางค์ (เมืองลำปาง) องค์ที่สอง ชื่อพระบรมราชา ได้รับสถาปนาให้เป็น พระมหาอุปราช ครองเมืองพิษณุโลกไว้ก่อน แล้วให้ลงมาครอง กรุงศรีอยุธยาแทน พระราชบิดา ส่วนองค์ที่ 3 ชื่อพระเชษฐา แปลว่า ผู้ประเสริฐ ก็ได้สถาปนาให้เป็น พระมหาอุปราช ครองเมืองเหนือคือ เมืองพิษณุโลก ส่วนกรุงศรีอยุธยา ก็กลับเป็นราชธานีอีกต่อมา และเมื่อพระบรมราชาสวรรคตแล้ว พระรามาธิบดี ผู้เป็นพระมหาอุปราช ก็ขึ้นครองราชแทน อันวีรกรรม ผลงานของพระรามาธิบดี องค์นี้นับว่าเด่นดังหลายอย่างคือ ทางเมืองเหนือ สมัยที่พระเมืองแว ครองเมืองเชียงใหม่ แข็งข้อขึ้นอีก เมื่อปี 2050 พระบรมราชามหาอุปราช ขึ้นไปปราบเสียจนราบคาบ และได้ทรงสร้างพระสถูปใหญ่ขึ้น ในวัดสุทธาวาส เพื่อบรรจุพระอัฐิ ของพระบรมไตรโลกนาถ และพระประยูรญาติผู้ใหญ่ทุกพระองค์ และสร้างหล่อพระพุทธรูปใหญ่ ไว้ในวิหารหลวง วัดพุทธาวาส และทรงหล่อพระพุทธรูป ด้วยทองสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ไว้ในวิหารหลวง วัดนี้ตั้งชื่อว่า พระศรีสรรเพ็ชญ์ตลอดมา และหล่อพระพุทธรูปยืน 8 วา หุ้มด้วยทองคำหนัก 20880 บาท แต่ถูกพม่าเอาไฟเผาลอก เอาทองคำไปหมด (ขอบอกว่า พม่ามันกลัวบาปกรรม มันไม่ทำหรอก ก็คนไทยนี่เอง สร้างเองทำลายเอง) ขณะนี้ ทองคำทั้งหมด ยังถูกฝังอยู่เมืองไทยนี้เอง พม่ามันไม่เอาไปหรอก เพราะมันกลัวบาป เมื่อปี 2072 ก็เป็นอันสิ้นสุด อำนาจของสุโขทัยไปชั่วคราว อันเจ้าทั้งหลาย ต่างฝ่ายต่างก็มองหาช่องทาง ที่จะแสวงหาอำนาจ ความเป็นใหญ่ใส่ตัว และพวกของตัว ผู้ที่ใฝ่ และมักใหญ่ใฝ่สูงที่สุด คือ ฝ่ายวงศ์สุพรรณภูมิ ท่านแรกที่ขึ้นครองราชคือ พระอาทิตยวงค์ ครองราชเมื่อปี พ.ศ. 2077 อันพระเจ้าไชยราชาธิราช ซึ่งเป็นพระเจ้าอา มาชิงเอาไป เมื่อปี 2077 อันพระเจ้าไชยราชาธิราช ซึ่งเป็นพระเจ้าอา ของพระรัษฎาธิราชกุมารนี้เอง ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ทางสุโขทัย ได้ครองราชตั้งแต่ ปี 2077 ถึง 2086 ครองราชอยู่ 9 ปี ก็สิ้นพระชนม์ ในระหว่างที่พระเจ้าไชยราชาธิราช ได้ครองเมืองนี้เอง ได้สู้รบกับ กองทัพพม่า เป็นครั้งแรกคือ รบกับเจัาตะเบ็งชะเวตี้ เจ้าเมืองตองอู สู้ไทยไม่ได้ถอยกลับ เมื่อพระเจ้าไชยราชาธิราช สวรรคตแล้ว กรุงศรีอยุธยาก็เข้าสู่ยุคทมิฬ ทุกท้องถิ่นเดือดร้อน ที่เจ้าแม่นางศรีสุดาจันทร์ก่อเรื่อง ให้บ้านเมืองต้องเดือดร้อน ไปทุกหัวระแหง เพราะความร้ายกาจ ของกิเลสตัณหา ความอยาก ความเห็นแก่ตัว ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความลืมตัว ไม่กลัวบาปกรรม ทำให้บ้านเมืองต้องเข้าสู่กลียุค เพราะตัณหาจัด ของผู้หญิงแท้ๆ ดังท่านจะได้อ่านต่อไป

ความยุ่งยากในกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2091-2148 เป็นเวลายาวนานถึง 57 ปี อันความยุ่งยาก วุ่นวายทั้งภายใน และภายนอกนี้เอง ที่ทำให้คนไทยทั้งชาติ ประสบภัยอันใหญ่หลวง ถึงกับต้องสูญเสียอิสระภาพ เสียบ้านเมือง เสียทุกสิ่งทุกอย่าง ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าถึง 15 ปี เรื่องนี้เพราะ เจ้าตัวกาลีศรีสุดาจันทร์แท้ๆ เมื่อพระไชยราชาธิราช ผู้ครองราชอยู่ก่อน และเป็นผู้กอบกู้ชาติไทย ให้พ้นภัยจากศึกพม่าครั้งแรก คือเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ตองอูได้แล้ว ท่านก็สิ้นพระชนม์ ตามภาวะสังขารของพระองค์ท่าน แล้วแทนที่จะสถาปนา แต่งตั้งให้พระเฑียรราชา ซึ่งเป็นพระอนุชาต่างพระมารดา ให้ขึ้นครองราชแทน แต่เจ้าศรีสุดาจันทร์ ซึ่งถือตัวเองว่าเป็นพระพันปีหลวง ทั้งๆ ที่ตัวเอง มีฐานะเพียงพระสนมเอกเท่านั้น กลับเอาลูกชายตัวเอง ชื่อพระเจ้าแก้วฟ้า ซึ่งมีอายุเพียง 11 พรรษาเท่านั้น ขึ้นครองราชแทน แล้วยังกลัววิตกว่า ถ้าให้ลูกชายครองราชต่อไป อันชายชู้ที่เธอหลงใหลคือ ขุนวรวงศา ก็จะไม่ได้เป็นผู้นั่งเมือง จึงวางแผน ฆ่าลูกชายในไส้ของตัวเอง ด้วยให้กินยาพิษ เมื่อปี 2092 จึงเป็นอันว่า สมเด็จพระแก้วฟ้าครองราช อยู่ในวัยทรงพระเยาว์ได้เพียง 2 ปี แล้วแต่งตั้งพระศรีศิลป์ ผู้เป็นน้องชาย ของเจ้าแก้วฟ้าแทน ซึ่งท้าวศรีสุดาจันทร์ จึงได้แต่งตั้งชายชู้ คือขุนวรวงศา ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เมื่อได้อำนาจแล้ว กลับลืมตัว บ้ายศ บ้าอำนาจ ใช้ความเด็ดขาด แบบใครขัดขวาง ตายลูกเดียว และถ้าไม่พอใจกับใคร ที่เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ ก็สั่งปลดทิ้ง ฆ่าเสีย จึงเกิดมีไพร่ฟ้าข้าราชการ ทั้งภายในและภายนอก ไม่พอใจในพฤติกรรม ของขุนวรวงศา จึงหาอุบายกำจัด โดยขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งตอนนั้นเป็นเจ้ากรมตำรวจ และท่านก็ได้สหายคู่ใจคือ ขุนอินทรเทพ ร่วมกันวางแผน ทูลเชิญเจ้าเหนือหัว คือเจ้าแม่ศรีสุดาจันทร์ กับผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคือ ไอ้เจ้าขุนวรวงศา ออกเยี่ยมประชาชน ให้อาณาประชาราษฎร์ ได้ยลโฉม อภิวาทกราบไหว้ ให้ทวยราษฎร์ได้ชื่นใจ พอเสด็จด้วยขบวนช้าง ออกพ้นนอกกำแพงเมือง ถึงตรงคลองสระบัว ไพร่พลที่เตรียมพร้อมคอยอยู่แล้ว มิใช่คอยกราบไหว้วันทา แต่คอยกำจัด จะเด็ดชีวา เจ้าแม่กาลีให้ม้วยมรณ์ จึงร่วมกันจับเจ้าแม่ศรีสุดาจันทร์ กับขุนวรวงศาฆ่าทิ้ง ตรงคลองสระบัว จึงเป็นอันว่า ชาวประชาร่วมกันกำจัดศัตรู เสี้ยนหนามของแผ่นดิน ให้ด่าวดิ้นสิ้นไปได้สำเร็จ ด้วยกลเม็ด ของท่านขุนพิเรนทรเทพ กับท่านขุนอินทรเทพ ทั้งสองท่านร่วมกับผู้รักชาติ รักบ้านเมือง เรื่องนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจ ในผู้มีอำนาจ วาสนา บารมีมากๆ ว่า อำนาจมันไม่อยู่ค้ำฟ้าหรอก ผู้มีอำนาจทั้งหลาย อย่าหยิ่งยโสนัก รู้จักตัวเสียบ้าง อันอำนาจก็ดี ศักดิ์ศรี บารมีก็ดี ถ้าคิดให้ดีแล้ว เป็นของตัวเองเสียเมื่อไหร่ มันเกิดมีขึ้นมา เพราะผู้อื่นเขาอุปโหลกให้ เขาสมมุติให้ทั้งนั้น มันเป็นตัวสมุทัย เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น ถ้ายึดมั่นถือมั่น จนเกินไปบรรลัยลูกเดียว

เมื่อชาวกรุงศรีอยุธยา ช่วยกันกำจัดตัวเสี้ยนหนามของชาติ คือเจ้าขุนวรวงศา กับศรีสุดาจันทร์ได้สำเร็จแล้ว ก็พร้อมกันไปทูลเชิญ หลวงพ่อพระเฑียรราชา ให้ลาผนวช (คือให้สึก ลาเพศจากสมณะ ให้ขึ้นครองราชเมื่อ พ.ศ. 2091 เหตุที่ท่านจะหนีบวช เพื่อพึ่งผ้ากาสาวพัสตร์ ก็เพราะทนการปองร้าย การจองล้างจองผลาญ พาลหาเรื่องใส่ความ จากพี่สะใภ้ คืออีแม่นางศรีสุดาจันทร์ไม่ไหว จึงไม่สนใจรับราชสมบัติใดๆ ทั้งนั้น แต่คราวนี้ พระองค์ท่านต้องรับหน้าที่ ไม่มีทางปฏิเสธได้ เพราะเหตุที่ชาวประชา ข้าราชการทั้งหมด ในเมืองสยามไทย ฝากความหวัง ไว้กับท่านให้ครองราช จึงได้อภิเษก ให้เป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และได้อภิเษกสมรส กับพระศรีสุริโยทัย เมื่อสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ได้เสวยราชแล้ว ก็ปูนบำเหน็จ ให้ผู้ทำความดีช่วยเหลือบ้านเมือง ผู้กำจัดเสี้ยนหนามของแผ่นดินทุกคน คือ ท่านขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งอดีตเป็นเจ้ากรมตำรวจ ผู้รักษากฏหมายของบ้านเมือง และพื้นเพเดิม ตระกูลเดิมของท่าน ก็เป็นรัชทายาท เชื้อสายของวงศ์พระร่วง และเป็นพระญาติที่ใกล้ชิด กับพระไชยราชาธิราช ผู้เป็นพระบิดา ของเจ้าแก้วฟ้า (พระยอดฟ้า) ผู้เป็นพี่ยาเธอ ของพระเฑียรราชา จึงสถาปนาให้เป็น พระมหาอุปราช แล้วเลื่อนเป็น พระมหาธรรมราชา แล้วทรงมอบ พระราชธิดาองค์ใหญ่ คือ พระวิสุทธิกษัตรี ให้ไปเป็นพระชายา แล้วให้ไปครองเมืองพิษณุโลก ก็ทั้งสองท่านนี้เอง เป็นผู้ให้กำเนิด คือพระราชบิดา และราชมารดา ของพระนางสุพรรณกัลยา กับเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว แล้วต่อมา เมื่อกรุงศรีอยุธยาเข้ากลียุค พม่าบุกทำลาย พระเจ้าตาของพระนาง คือพระมหาจักรพรรดิ จึงทรงเรียกตัว กรีฑาทัพลงมาช่วยที่อยุธยา

อันพระเจ้าตาของท่านคือ พระมหาจักรพรรดิ กับพระเจ้ายาย คือ พระศรีสุริโยทัย ได้ให้กำเนิด พระราชโอรสสองพระองค์ พระราชธิดาสามพระองค์ ซึ่งมีรายนามดังนี้คือ

1. พระราเมศวร ซึ่งเป็นองค์รัชทายาท
2. พระวิสุทธิกษัตริย์ คือ พระมารดาของพระนางเอง กับเจ้าองค์ดำ และองค์ขาว
3. พระบรมดิลก
4. พระเทพกษัตรี
5. พระมหินทราธิราช ซึ่งได้ครองราช แทนพระจักรพรรดิ

องค์ที่หนึ่ง พระองค์แรกเป็นชาย ชื่อพระราเมศวรเป็นผู้เข้มแข็ง กล้าหาญชาญชัย มีความรักชาติ รักพี่รักน้อง รักแผ่นดิน รักเกียรติภูมิ ได้ตำแหน่งรัชทายาท มีความองอาจ คู่พระทัยในพระมหาจักรพรรดิ เมื่อแพ้สงคราม ก็ถูกจับเอาไปเป็นตัวประกัน พร้อมด้วยพระเจ้าองค์ดำ และองค์ขาว เมื่อแพ้สงคราม เราทั้งสาม ก็ถูกพระเจ้าบุเรงนอง ขอเอาไปเป็นบุตรบุญธรรม เขานำไปไว้ที่เมืองหงสาวดีเช่นกัน องค์ที่สามคือ พระบรมดิลก ที่สิ้นพระชนม์บนหลังช้าง เหมือนพระมารดาคือ พระศรีสุริโยทัย แต่พงศาวดารไทย ไม่ได้กล่าวถึงเลย เท่ากับเป็นวีรสตรี ที่สาบสูญไปอีกองค์ ขาดจากความทรงจำของไทย ไม่ผิดกับฉัน องค์ที่สี่คือ พระเทพกษัตรี ท่านองค์นี้นับว่า เป็นราชธิดาที่น่าสงสาร ในชีวิตของท่าน ต้องพลัดพราก จากบ้านเมืองนอนรอนแรมไปอยู่ต่างแดน เพราะในการเสียกรุงครั้งนั้น เจ้าศรีสัตนาคนหุต ฉุดเอาไปทำเมียเสียเอาดื้อ องค์ที่ห้าคือ พระมหินทราธิราช ผู้ครองอำนาจ ต่อจากพระมหาจักรพรรดิ แล้วเมื่อเสียกรุงครั้งแรกปี พ.ศ. 2112 เจ้าบุเรงนองจับเอาไปเป็นเชลย และให้อยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา พอเดินทางไปถึงเมืองสระถุง ใกล้กับเมืองอังวะ พระมหินทราเกิดความไม่ยำเกรง ต่อบุเรงนอง เจ้ากรุงหงสาวดี บุเรงนองเกิดพิโรธ โกรธแค้น จึงสั่งประหารด้วยดาบ แล้วโยนศพ ลงแม่น้ำสะโตง ก็พระคุณท่านยังลงไปงม เอาศพขึ้นมา ทำฌาปนกิจให้ท่าน ฝังไว้ตรงไหนท่านรู้เอง ตอนท่านกลับ ก็อย่าลืมขุด เอาอัฐิธาตุกลับไปด้วยนะ ส่วนขบวนของพระเจ้าลุงของฉัน คือ พระราเมศวรนั้น เขาไล่เอาไป เป็นทัพหน้าอยู่ทางเหนือ เมื่อท่านกลับ กรุณาไปเชิญเอางาช้างเผือกไปด้วย เพราะช้างเผือกนั้น มีงาแฝดข้างหนึ่ง เป็นสีดำ หรืองาช้างดำ เล่มเล็กๆ ใครมีไว้เป็นมงคลแก่ตัว

ส่วนฉันเองพร้อมด้วยน้อง พอเห็นเขาประหารพระเจ้าอา คือพระมหินทราธิราช ต่อหน้าต่อตา ก็พากัน เกิดปริวิตกอย่างมาก ว่าสักวันหนึ่ง เรื่องตายแบบนี้ ก็ต้องถึงเราแน่ แต่ก็มีท่านเป็นปราการด่านสุดท้าย ที่จะเป็นผู้ทัดทานเอาไว้ ในคราวที่พวกฉันจะถูกรังแก แต่ไม่รู้ว่าท่านมีอะไรดี อยู่ในตัว ทำให้บุเรงนองต้องกลัว และเกรงใจท่านเอามากๆ คงจะเป็นเพราะท่านเป็นหมอ หมอยาสมุนไพร ได้ช่วยรักษา ให้บุเรงนองหายจากโรค พ้นจากความตายได้หลายครั้ง และบุเรงนองเป็นโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน เนื้อตัวเกรอะกรัง ด้วยน้ำหนองไหลไม่ขาด ท่านฉลาด หายาตามป่ามาอาบ ทา ให้หายทุกครั้ง และเขาถูกช้างเหยียบจะตายเอา ท่านชี้มือบอกให้ช้างหยุด ช้างก็หยุด เขาไม่ตายเพราะท่าน ดังนั้นเจ้าบุเรงนองจึงเกรงใจท่าน และรักท่าน และท่านก็ได้กราบทูลเขาว่า กุมารทั้งสองคน พร้อมด้วยกุมารีอีกคนหนึ่ง คือตัวฉันกับน้องๆ นั้น เจ้าเหนือหัว ทรงขอกับพระมหาธรรมราชา มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เจ้าเหนือหัวต้องรักษาสัจจะ ให้รักเขาเหมือนลูก และทะนุถนอมเขาเหมือนลูกในไส้ ถ้าหากไม่แล้ว ข้าพเจ้าจะยอมตาย แล้วปล่อยให้ท่านทรมาน ด้วยโรคตลอดไป และจะตายเอาเร็วด้วยนะ ดังนั้นเขาจึงรักฉันกับน้องๆ เหมือนลูกจริงๆ แต่ก็ไม่ขาดจากสายตาท่าน ที่จะต้องดูแลทุกข์สุข ในการเดินทาง บุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขาลงห้วย ห้อยโหนปีนเหว ใช้เวลารวมเดือนกว่าๆ พวกเราทรมานมาก ไม่รู้ว่ามีกรรมมีเวรอะไร แต่ชาติปางก่อน มันจึงย้อนมาสนองเรา เอาชาตินี้ ขอให้ท่านจงช่วยแก้กรรมให้ด้วยคะ หรืออาจจะเป็นเวรกรรม ที่พระบิดาของฉัน ทำกับแม่นางศรีสุดาจันทร์ก็ได้ อันการที่ฉันได้เล่าเรื่องราว ถึงสกุลรุนชาติ สายญาติต้นตระกูลเดิมของฉันก็มีเท่านี้

สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เสวยราชย์ได้ 6 เดือน พระเจ้าหงสาวดี ก็ยกกองทัพเข้ามารุกราน ด้วยได้ระแคะระคายว่า กรุงศรีอยุธยา เกิดการแย่งราชสมบัติกันขึ้น พระเจ้าหงสาวดีจึงให้เกณฑ์พม่า สมทบกับมอญ และไทยใหญ่ ให้มาชุมนุมทัพพร้อมกัน ที่เมืองเมาะตะมะ แล้วจึงยกมากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2091 อันที่จริงกรุงศรีอยุธยา จะไม่ใช่ว่าไม่เคยสงคราม แต่สงครามที่ได้ทำมา ในครั้งก่อนๆ นั้น นอกพระราชอาณาเขต ไม่เหมือนกับครั้งนี้ เพราะในสมัยก่อน พระไชยราชาธิราชก็ได้ต่อสู้ ฟาดฟันกับพม่า คือพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ให้ป่นปี้หนีหายไป ไม่เป็นขบวนมาแล้ว ซึ่งนับเป็นครั้งแรก ที่มีศึกใหญ่ เข้ามาประชิดประเทศ ยึดดินแดน ส่วนสำคัญของไทย เป็นสมรภูมิ แต่เนื่องด้วยกำลังรี้พล และเสบียงอาหารของไทย ในระหว่างนั้นยังสมบูรณ์อยู่ ด้วยเมื่อกำจัดขุนวรวงศา และท้าวศรีสุดาจันทร์ แต่นั้นมา บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงบ มิได้เกิดการจราจล ถึงกับรบราฆ่าฟันกันมากมาย เมื่อได้ข่าวพระเจ้าหงสาวดี ยกกองทัพใหญ่เข้ามา ประชิดพระนคร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ทรงมีบัญชาให้พระมหาธรรมราชา ยกกองทัพ เมืองเหนือลงมาช่วย และทรงส่งกองทัพใหญ่ออกไป ตั้งรักษาเมืองสุพรรณบุรี เป็นที่มั่นคอยรับหน้าข้าศึก และเตรียมการป้องกัน พระนครศรีอยุธยาไว้ก่อน แต่กองทัพของพระเจ้าหงสาวดี มีกำลังใหญ่หลวง กองทัพไทยที่ยกออกไป ตั้งรับรักษาเมืองสุพรรณบุรีจึงสู้ไม่ได้ จำต้องทิ้งเมือง ถอยกลับมายังกรุงศรีอยุธยา การถอยในครั้งนี้ เป็นการถอย แบบถอยท่าเดียว มิใช่เป็นการถอยพลาง สู้พลาง หรือหาที่มั่นแห่งใดแห่งหนึ่ง รับข้าศึกเป็นระยะๆ ไป แต่เป็นการกลับถอยหนี เข้ากำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยาอย่างเดียว

ส่วนทางกรุงศรีอยุธยาเล่า แทนที่จะส่งกองทัพออกไปช่วย กองทัพสุพรรณบุรี กลับเฉยเสีย ปล่อยให้กองทัพของเจ้าหงสาวดี รุกไล่ถึงชานพระนคร ขณะนั้น ถ้าหากกองทัพไทย จะยกกองทัพออกไปต่อต้านข้าศึก ก็อาจจะได้เปรียบกว่าทหารพม่าอยู่บ้าง เพราะกองทัพไทยในกรุง ยังสดชื่นอยู่ ส่วนกองทัพพม่า ยกกองทัพรอนแรมมา ย่อมจะเป็นฝ่ายเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง ถ้าหากทางกรุงศรีอยุธยา จะยกเข้าโจมตีทันที เมื่อกองทัพพม่ามาถึง ก็คงจะได้ชัยชนะบ้าง แต่ทางกรุงศรีอยุธยากับนิ่งเฉยเสีย เพราะยังไม่ได้ฤกษ์ จากโหรปล่อยเวลาให้ข้าศึกได้พักผ่อน และกินอาหารให้อิ่ม มีกำลังก่อน จึงได้ฤกษ์จากโหร

และในช่วงนี้เอง ที่ประวัติศาสตร์ไทย ต้องบันทึกการสูญเสีย สมเด็จพระนางศรีสุริโยทัย อัครมเหสี ของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิไป อย่างน่าเศร้าสลด กล่าวคือ กองทัพพม่ายกทัพเข้ามา ตั้งค่ายที่ชานพระนครเป็นที่มั่น เมื่อวันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 4 แล้วพอรุ่งขึ้น วันอาทิตย์ ขึ้น 1 ค่ำ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ใคร่จะทรงทราบกำลังของ กองทัพข้าศึก ว่าจะเข้มแข็งประการใด จึงลอบเสด็จ ยกกองทัพหลวงออกไป ครั้งนั้นสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระอัครมเหมสี ขอเสด็จตามไปด้วย สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็โปรดอนุญาต ให้แต่งพระองค์เป็นชาย อย่างมหาอุปราช ต่างองค์ต่างทรงพระคชาธาร หรือช้างศึก ออกไปพร้อมกัน กับพระราชโอรสทั้งสองคือ พระราเมศวร และ พระมหินทราธิราช กองทัพของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงออกไปปะทะกับ กองทัพพระเจ้าแปร ซึ่งเป็นกองทัพหน้า ของพระเจ้าหงสาวดี ความตั้งพระทัยเดิม ว่าจะออกไปดูลาดเลาข้าศึกนั้น กลายเป็นการทำยุทธหัตถี เข้าโดยฉับพลัน สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เข้าชนช้างกับพระเจ้าแปร ช้างพระที่นั่ง ของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสียที ก็แล่นหนีข้าศึก เจัาแปรได้ที ก็ขับช้างไล่ตามมาไม่ยับยั้ง สมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระอัครมเหสีที่ตามเสด็จมา ทรงเกรงว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จะเป็นอันตราย ก็ไสช้างทรง ตรงเข้ามาขวางกั้นพระสวามี พระเจ้าแปรสำคัญว่าเป็นชาย ก็ฟันด้วยพระแสงของ้าว ถูกพระอังศาขาด ซบพระเศียรทิวงคต อยู่บนคอช้าง ขณะนั้น พระราเมศวร กับพระมหินทราทรงเห็นเหตุการณ์ ก็ขับช้างทรงเข้าช่วย ขวางกั้นข้าศึกไว้อย่างหนักหน่วง จนข้าศึกถอยทัพ จึงได้พระศพ สมเด็จพระชนนีมา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ถอยทัพกลับคืนเข้าในพระนคร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อทรงถอยทัพ กลับคืนเข้าพระนครแล้ว ก็ใหัรักษาพระนครไว้ให้มั่น คอยกองทัพเมืองเหนือ ของพระมหาธรรมราชาที่จะยกมาถึง จึงจะตีทัพข้าศึก กระหนาบทั้งสองด้านให้พร้อมกัน ส่วนพระศพของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยนั้น ให้เชิญไปประดิษฐานไว้ที่สวนหลวง ภายหลังได้ทรงมีบัญชา ให้สร้างพระเมรุพระราชทานเพลิงศพ ที่ในสวนหลวง ต่อเขตวัดสบสวรรค์ แล้วทรงสร้างพระอารามขึ้น ตรงพระเมรุ มีพระเจดีย์ใหญ่เป็นสำคัญ ปรากฏสืบมาจนทุกวันนี้คือ วัดสวนหลวงสบสวรรค์

... ติดตามตอนต่อไป ...
... กลับไปยังหน้าแรก ...